|
เนื้อเรื่องย่อ :
บทที่ ๑
โฉมงามยามคับขัน
อากาศร้อนระอุ ไม่มีลมแม้สักแผ่วเบา ดวงอาทิตย์ที่บ่ายคล้อยใกล้สนธยา
สีแดงฉานปานลูกไฟดวงใหญ่ คล้ายต้องการหลอมละลายทุกสรรพสิ่งให้หมดสิ้นไป
ยังไม่ถึงเวลาเข้าใต้เข้าไฟ ถนนสายนี้มีคนสัญจรแออัดแล้ว เดินเบียดเสียดกันไปๆมาๆส่งภาษาด้วยสำเนียงต่างๆ
ผสานกับกลิ่นกายที่ระเหยในอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ แทบก่อกวนผู้คนให้ยากจะทนทานได้
ฮ้อก้าเดินออกมาจากร้านอาหารเล็กๆปาดเหงื่อบนหน้าผาก พร้อมกับระบายลมหายใจยาวๆ
กวาดตามองผู้คนที่แออัดคับคั่งด้วยความรำคาญ แต่ในใจครุ่นคิด มิทราบไปดื่มสุราต่อ
? ไปเที่ยวซ่องคณิกา ? หรือไปเล่นการพนันที่บ่อนเบื้องหน้า ? แต่มิว่าจะไปที่ใด
ตอนนี่ยังเป็นเวลาเร็วเกินไปอยู่
ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผากอีกครั้ง เคลื่อนเท้าก้าวไปที่เบื้องหน้าช้าๆ จนพ้นท้องถนนสับสนอลหม่าน
มาถึงชายทุ่งที่ชานเมือง
ที่นี่เย็นสบายกว่าบ้าง อย่างน้อยมีกระแสลมเฉื่อยฉิว ไม่ได้ยินเสียงเซ็งแซ่จอแจ
ไม่ได้เห็นพวกวิกลจริตที่เบียดไปเบียดมา อารมณ์จึงผ่องใสกว่าเดิมไม่น้อย
เหยียดแขนบิดกาย อ้าปากหาวอีกครั้ง
มันมีฤทธิ์สุราอยู่หลายส่วนจริงๆ แต่เพียงหลายส่วนเท่านั้น
ด้วยอาชีพเช่นดั่งมัน ดื่มสุรามิเป็นไร แต่ไม่อาจดื่มเมามายเด็ดขาด ต่อให้เป็นการเมาครั้งเดียว
ก็อาจจะเป็นการเมาครั้งสุดท้ายของชีวิตได้
ฮ้อก้าอ้าปากหาวยังไม่ทันสิ้นเสียง ในพงหญ้าข้างทางพลันมีเสียงพั่บ พั่บ
ดังขึ้น ประกายแวววาวสายหนึ่งพุ่งวาบมาจากอีกทิศทางหนึ่ง เป้าหมายคือปากที่อ้ากว้างของฮ้อก้า
!
สายตาฮ้อก้าเพิ่งถูกเสียงในพงหญ้า ดึงดูดให้เบือนไปมอง อาวุธอำมหิตประกายแวววาวสายนั้น
พุ่งวาบมาถึงเบื้องหน้าแล้ว ร่างของมันมิได้มีการเคลื่อนไหวหลบหลีก เพียงสะบัดมือซ้ายเบาๆประกายแวววาวที่พุ่งมา
พลันถูกคว้าไว้อย่างง่ายดาย !
ที่สงบนิ่งอยู่ในฝ่ามือฮ้อก้า เป็นมีดสั้นคมกริบยาวประมาณเจ็ดนิ้ว ตีขึ้นจากเหล็กเหนียว
ที่ม้วนได้ ดีดได้ สังหารคนโดยไม่มีโลหิตหลั่งไหล !
คมมีดเป็นประกายเย็นเยียบ แวบวับวูบวาบอยู่ที่เบื้องหน้าสายตาฮ้อก้าพิจารณาด้ามมีดที่สลักจากงาช้าง
มีลวดลายประณีตสวยงามแล้ว อดมิได้ต้องขมวดคิ้วครุ่นคิด
และแล้ว มีเงาร่างสายหนึ่ง พลิ้วละลิ่วลงมาจากต้นไม้ใหญ่ทางด้านหน้า
เป็นร่างที่อ้อนแอ้นแน่งน้อย ยามชายเสื้อชายกระโปรงพลิ้วตามสายลมมีกลิ่นหอมระเหยออกมา
เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆที่ซาบซึ้งตรึงใจมาก
ฮ้อก้าเขม้นมองสตรีที่พลิ้วตัวลงมาแน่วนิ่ง มันมิอาจไม่ยอมรับ นับเป็นสตรีที่งามสะคราญปานหยาดฟ้างามจนกระชากขวัญสะท้านวิญญาณของบุรุษได้
ทั้งยังมีเสน่ห์ทุกอากัปกิริยาอีกด้วย หากจงใจจะแคะได้ตำหนิสักเล็กน้อย นั่นคือกลิ่นอายที่เย็นชา
จนผู้คนรู้สึกว่า มีม่านน้ำแข็งมากางกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง
ประกายที่เย็นเยียบคมวาวของสตรีนางนั้น เขม้นมองฮ้อก้าแน่วนิ่งเช่นกับที่ฮ้อก้าจ้องมองนาง
ครู่ใหญ่ จึงส่งเสียงราบเรียบ
"ฮ้อก้า ท่านพอมีอยู่สองสามท่าจริงๆ"
ฮ้อก้าแลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อน จึงแค่นหัวร่อตอบ
"ยกย่องเกินไป ฝีมือต่ำต้อยน้อยนิดเท่านั้น"
กล่าวได้เท่านั้นพลันฉุกคิด ตอนนี้ตำหนิโทษนางยังรู้สึกน้อยเกินไป ไหนเลยยังเกรงใจตามมารยาทกับนางได้
? ดังนั้น สองตาเบิ่งโพลง คล้ายยิ้มที่ปรากฏให้สลาย แค่นเสียงเย็นชา
"อาวุธลับเมื่อครู่ เป็นฝีมือท่านกระมัง ?"
สตรีนางนั้นผงกศีรษะรับโดยไม่ลังเล
"ถูกแล้ว เป็นเราทักทายท่านเอง แต่ก็นับเป็นฝีมือต่ำต้อยน้อยนิดเช่นกัน"
"โทสะฮ้อก้าพลุ่งขึ้นทันที กระชากเสียง
"โกวเนี้ย
."
"เรานามกิมเหล็ง ที่แปลว่ากระพรวนทอง"
"มิว่าท่านจะเป็นกระบวนทองก็ได้ กระพรวนเงินก็ดี เราไม่มีอารมณ์จะผูกสัมพันธ์สร้างไมตรีกับท่าน
เราเพียงต้องการถาม พวกเราไม่เคยมีความอาฆาตแค้นกัน กระทั่งยังไม่รู้จักกันมาก่อน
ท่านถึงกับอุจอาจ ใช้อาวุธลับหมายปลิดชีวิตของเรานับเป็นความหมายใดของท่าน
?"
"มิได้เป็นความหมายใด เพียงต้องการทดสอบเท่านั้น"
"ทดสอบเรา ? ทดสอบกระไรของเรา ?"
กิมเหล็งยังคงตอบเสียงราบเรียบดั่งเดิม
"ทดสอบพลังฝีมือของท่าน ใช่เลอเลิศดั่งคำเล่าลือหรือไม่ ?"
"หากไม่สมกิติศัพท์ที่เล่าลือ ไยบิใช่ถูกมีดของท่านทะลุลำคอตายไปแล้ว
?"
"หากฝึกฝีมือไม่เพียงพอ มีแต่ชื่อเสียงจอมปลอมหลอกลวงผู้คน ยังมิสู้ตายเสียแต่เนิ่นๆประเสริฐกว่า
ยังชีวิตให้ทุเรศตาต่อผู้คนไปไยกัน ?"
ฮ้อก้าปากอ้าตาค้างชั่วครู่ จึงแผดเสียงแหบห้าว
"บัดซบ ! นี่เป็นเหตุผลอุบาทว์ใด นับว่าป่าเถื่อนกว่าอันธพาลเสียอีกเห็นชีวิตคนดุจผักหญ้า
ถือผู้แซ่ฮ้อดั่งเนื้อบนเขียง หากเรื่องนี้ทนได้ ยังมีที่ใดที่ทนไม่ได้ ?
.."
"แล้วท่านจะทำอย่างไรกับเรา ?"
"ทำอย่างไร ? เราจะใช้มีดของท่านคืนสนองแก่ตัวท่าน เมื่อครู่ท่านตั้งใจปลิดชีวิตเรา
ก็ได้ เราตอนนี้ก็จะใช้วิธีเดิม ทดสอบกับท่านดูบ้าง"
ใบหน้างามสะคราญของกิมเหล็ง มีได้เปลี่ยนแปรแม้สักเล็กน้อย ยังคงกล่าวอย่างปลอดโปร่งเยือกเย็น
"เราไม่เห็นพ้อง เนื่องเพราะเราสู้ท่านไม่ได้"
ฮ้อก้าที่กำลังถลกแขนเสื้อทำท่า ได้ยินวาจานั้นแล้วต้องกระอักกระอ่วนยิ่ง
มันที่คลุกคลีมานานปี มิว่าลวดลายใดๆต่างเคยพบพาน แต่ยังมิเคยพบสตรีเช่นนี้มาเลย
กิมเหล็งส่งเสียงต่อ
"อีกประการ เราทดสอบท่านเพราะมีสาเหตุ มีคุณประโยชน์ต่อท่าน แต่ท่านทดสอบเรา
เป็นเพียงอารมณ์ที่แค้นเคืองเท่านั้น บุรุษเพศชาติชาตรี โดยเฉพาะบุรุษที่มีชื่อเกรียงไกรเช่นดั่งท่าน
หากกระทำเช่นนี้ ไยไม่แสดงว่าอ่อนด้วยเกินไปและขาดบุคลิกภาพเกินไป ?"
ฮ้อก้าอึ้งอยู่ชั่วครู่ จึงกระชากเสียงกล่าว
"ไม่ต้องเยินยอเรา เราเป็นคนหยาบกร้าน พเนจรร่อนเร่ อาศัยฝีมือไม่กี่กระบวนท่า
หาอาหารยังชีวิตเท่านั้น เฮอะ เมื่อท่านว่าเยี่ยงนี้ เราจะยอมรับว่าเคราะห์ร้ายกล้ำกลืนโทสะนี้ไว้ไม่ระบาย
บุรุษดีไม่ระรานอิสตรี นี่ ! อาวุธนี้คืนให้ท่าน"
กิมเหล็งโบกมือกล่าว
"รอสักครู่ ท่านไม่ต้องทราบเหตุผลที่เราทำดั่งนี้ และไม่คิดจะถาม ท่านจะได้รับคุณประโยชน์ใดบ้างหรือไร
?"
ฮ้อก้าลังเลชั่วครู่จึงกล่าว
"ลวดลายของท่านมีไม่น้อยเลย เรามักรู้สึกว่า ในตัวท่านคล้ายมีอาถรรพ์มิใช่คนในเส้นทางดีงาม
"
บนใบหน้าโฉมสะคราญมีเค้านุ่มนวลขึ้นเป็นครั้งแรก น้ำเสียงพลอยนุ่มนวลตามไปด้วย
"ฮ้อก้า ท่านไม่ต้องกลัวเรา"
"เฮอะ เรากลัวท่านไปไย ? ในแผ่นดินกว้างใหญ่ อาจบางทีคนที่เราสู้ไม่ได้
แต่ไม่มีผู้ใดที่เราต้องเกรงกลัว"
"ห้าวหาญน่านิยมมาก ฮ้อก้า เชิญตามเรามา"
"ไปที่ใด ?"
กิมเหล็งมิได้ตอบ หันกายเดินนำออกไปทันที ฮ้อก่าเองมองเงาหลังที่อ้อนแอ้นของนาง
จนชั่วครู่ จึงขบกรามตัดสินใจ ก้าวอาดๆตามไปบ้าง
เชิงผา ชายป่าโปร่ง หน้าลำธารน้อย มักระท่อมเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง บรรยากาศเงียบสงบน่าพักผ่อน
ในกระท่อมตกแต่งไว้ซอมซ่อ พอเป็นที่อยู่อาศัยได้เท่านั้น ฮ้อก้านั่งอยู่ข้างโต๊ะสี่เหลี่ยม
กวาดตามองไปมาด้วยความคลางแคลงสงสัย กิมเหล็งได้ยกน้ำชามาให้มันถ้วยหนึ่ง
กิมเหล็งนั่งลงที่ตรงข้ามฮ้อก้า เขม้นมองมันพลางหัวร่อถาม
"ฮ้อก้า ระหว่างนี้การค้ามิใช่ดีนัก ใช่หรือไม่ ?"
"การค้าใดกัน ?"
"การค้าในอาชีพของท่าน"
ฮ้อก้าจิบน้ำชาอีกอึกหนึ่ง เขม้นมองกิมเหล็งพลางกล่าว
"ดูท่าที ท่านมีความรอบรู้ในตัวของเราไม่น้อย ?"
"แทบจะรู้ทุกเรื่องราว เรายอมรับ ต้องทุ่มเทปัญญาความคิดและเงินทอง
ไปสอบถามเรื่องราวของท่าน แต่ก็ไม่นับว่าลำบากยากเข็ญนัก ต้องการทราบเรื่องราวใดย่อมต้องมีร่องรอยเบาะแสให้สืบสาวได้"
"เฮอะ ที่จริงพวกเราก็ไม่อาจนับว่าเร้นลับนัก ขอเพียงหาถูกเส้นทางกิจการค้าก็ตกลงกันได้
หากแม้นพวกเราต่างหดหัวดั่งเต่าใหญ่ แม้ปกปิดศักดิ์ศรีไว้ได้ แต่จะหาเสบียงอาหารได้อย่างไรกัน
?"
ดังนั้น เราจึงไม่ไปหาคนกลางของท่าน มุ่งมาพบกับท่านโดยตรงเลย เพื่อท่านไม่ต้องเสียค่าติดต่ออีกชั้นหนึ่ง
ส่วนเราก็ได้ปกปิดเร้นลับกว่าเดิม ไยมิงามพร้อมทั้งสองฟากฝ่าย"
ฮ้อก้าพิจารณาสตรีที่อยู่เบื้องหน้าโดยละเอียด ถามด้วยความรอบคอบสุขุม
"ท่านมาหาเรา ใช่ต้องการให้เราไปคุ้มครองผู้ใด ?"
"แน่นอน ที่จริงท่านมีอาชีพนี้อยู่แล้ว"
"ใช่ และยังนับเป็นชั้นยอดอีกด้วย"
"นี่ก็คือสาเหตุ ที่เราไม่ใคร่ครวญถึงผู้อื่น จงใจเลือกท่านโดยเฉพาะ
จวบจนบัดนี้ เรามีความพอใจในทุกๆด้านของท่านมาก"
"ยังมิต้องว่ากล่าวจนหนักแน่นจริงจังปานนี้พอใจหรือไม่พอใจ มิใช่อยู่ที่ท่านฝ่ายเดียว
การค้ารายนี้ของท่าน เราจะรับหรือไม่ยังยากจะแน่ใจ แม้นับว่ารับไว้ จะปกป้องโดยปลอดภัยได้หรือไม่
ยังมิกล้าระบุแน่นอน
"
"อย่างนั้น ท่านจะรับการไหว้วานของเราหรือไม่ ?"
"อันดับแรก เราต้องทราบก่อน ท่านต้องการให้เราไปคุ้มกันบุคคลเช่นไร
? เหตุไฉนต้องการให้ไปคุ้มกัน ? อันตรายที่อาจจะมีคืออะไร ? เป้าหมายที่จำเป็นต้องป้องกันคือผู้คนใด
?"
"บุคคลที่ท่านต้องป้องกันคือตัวเรา"
ฮ้อก้ากระพริบตาถี่ๆ กล่าวด้วยสีหน้างุนงงสงสัย
"ท่าน ?" ความสามารถเฉพาะตัวของท่านยังไม่เลว มีความจำเป็นต้องการคนคุ้มกันด้วย
?"
"คนที่จะประทุษร้ายเรา มีความสามารถที่ยิ่งไม่เลวหากไม่มีความจำเป็น
เราไยต้องเปลืองเวลาความคิดตั้งมากหลายมาหาท่าน อย่าว่าแต่ ท่านก็มิใช่จะยอมทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน"
"ฮาฮา ขายชีวิตเลี้ยงชีพ มิอาจปราศจากคุณค่าตอบแทนจริงๆ
"
"หมายความว่าท่านยินยอมรับแล้ว ?"
"ยังมิต้องเร่งร้อน กิมเหล็งโกวเนี้ย ด้วยรูปโฉมที่งามสะคราญของท่าน
อภัยที่เราขอกล่าววาจาจาบจ้วงสักคำ ผู้คนกระทั่งคิดจะประจบสอพลอยังรู้สึกน้อยเกินไป
ยังมีคนอุบาทว์ชาติชั่ว ใจดำอำมหิตใด มีความคิดจะขยี้บุปผาอย่างชั่วช้า ท่านอย่าได้กังวลเกินกว่าเหตุ
คิดไปแต่ในแง่ร้าย"
ดวงตาคู่งามของกิมเหล็ง มีประกายเย็นยะเยียบแวววาวอีกครั้ง นางเขม้นมองฮ้อก้าแน่วนิ่ง
เน้นเสียงช้าๆ
"ฮ้อก้า จ้องมองดูเรา"
ฮ้อก้ากลืนน้ำลายอึกใหญ่ จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความกระดากกระเดื่อง กิมเหล็งส่งเสียงเย็นชากล่าวต่อ
"ท่านดูเราคล้ายเป็นคนวิกลจริต ปัญญาอ่อน สติไม่สมบูรณ์หรือไม่ ?"
"ล้วนไม่คล้าย"
"อย่างนั้น เราจะเป็นคนมีโรคหวาดผวา มีอุปทานในเรื่องภูตผีปีศาจหรือไม่
?"
"คนที่ดำเนินการด้วยความสุขุมรอบคอบเช่นดั่งท่าน ต้องมีมันสมองปราดเปรื่องแจ่มใส
จิตใจหนักแน่นมั่นคง
."
"นี่ไยมิใช่ยุติได้ ?"
ฮ้อก้าระบายลมจากปากยาวๆ แต่ยังกล่าวด้วยความสงสัย
"ประหลาดแท้ ยังมีคนคิดมาประทุษร้ายอิสตรีเช่นดั่งท่านได้จริงๆ โดยเฉพาะสตรีที่สวยสะคราญเช่นดั่งท่านนึกไม่ออก
นึกไม่ออกจริงๆ
"
"คนมีประเภทต่างๆ ย่อมเพาะความแค้นประเภทต่างๆที่ผิดแปลกกันกระทั่งทารกเยาว์วัยไร้เดียงสา
บริสุทธิ์ดั่งเทวทูตจากสวรรค์ ยังมีการแก่งแย่งขนม จนหยิกทึ้งกัดข่วนฝ่ายตรงข้าม
อย่าว่าพวกเราที่เป็นชาวยุทธเลย"
"จริงดั่งที่ท่านว่า กิมเหล็กโกวเนี้ย เจ้าผู้ประสงค์ร้ายต่อท่านเป็นเทพเจ้าของเส้นทางสายใด
?"
"กิมเหล็งอึ้งชั่วครู่จึงตอบ
"ท่านรับคำไหว้วานของเราแน่นอนก่อน เราจึงจะแพร่งพรายให้ท่านทราบ"
"กิมเหล็งโกวเนี้ย กฎในอาชีพของพวกเรา จำเป็นต้องทราบฝ่ายตรงข้าม ที่จะต่อต้านรับมือให้ชัดเจนก่อนค่อยใคร่ครวญกำลังของตนเอง
ใช่สามารถรับภาระไว้ได้หรือไม่ จึงจะตกลงใจรับการค้าหรือไม่ หากเพียงอาศัยลมปาก
อ้าแขนรับทุกเรื่องราว รอจรถึงวาระเผชิญกันไม่มีความสามารถต่อต้านรับได้
ไยมิใช่เป็นการทำลายผู้ว่าจ้าง ยังเป็นการทำลายชีวิตตนเอง ท่านวางใจ การค้ามาถึงบ้าน
ไม่มีเหตุผลบ่ายเบี่ยงผลักไส หากสามารถรับไว้ แม้เป็นภาระหนักหน่วงปานใด
เรายังต้องกัดฟันยอมรับ แม้นับว่า หากห่างไกลกับผู้อื่นเกินไป อย่างน้อยที่สุด
จรรยาบรรณในการปกปิดความลับองลูกค้า เรายังพอมีอยู่
"
กิมเหล็งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงส่งเสียงแผ่วเบา
"ความจริง ฝ่ายตรงข้ามก็มิใช่ยอกเยี่ยมสักเท่าใด อย่างน้อยไม่มีน้ำหนักกดทับท่านจนล้มลงได้
ฮ้อก้า ขบวนการโป้ยฮวงหวย (สมาคมอัฐธวัช
แปดธง) ท่านเคยได้ยินหรือไม่ ?"
พอได้ยิน "โป้ยฮวงหวย" สามคำ ฮ้อก้าคล้ายดั่งพลันกลืนเกาลัดเผาไฟเข้าไปถึงสามลูก
พยายามถูใบหน้าแรงๆหลายครั้ง ฝืนยิ้มถาม
"ท่านหมายถึงโป้ยฮวงหวย (สมาคมอัฐธวัช
แปดธง) ที่มีอิทธิพลครอบคลมุสองฝั่งลำน้ำฮวงโห
ในอาณาบริเวณกว่าสาม้อยลี้นั้น ? เฮอะ เฮอะ เราเคยได้ยิน ย่อมเคยได้ยิน
"
กิมเหล็งสังเกตออก สีหน้าฮ้อก้าผิดปกติมากหลาย หัวใจนางต้องเต้นระทึกด้วยความหวั่นไหว
ส่งเสียงเย็นชา
"ฮ้อก้า ท่านคงไม่ถึงกับหวาดกลัวพวกมันกระมัง ?"
ฮ้อก้าพยายามตะเบ็งเสียงหัวร่อจนดังสนั่นหวั่นไหว เสียงหัวร่อดังๆนี้ สมควรแกร่งกร้าวกังวานด้วยความเหี้ยมหาญ
แต่เสียงเค้นออกมาครานี้ กลับแหบแห้งคล้ายสุดฝืน จนกระทั่งตัวเองรู้สึกตระหนก
ความแกร่งกร้าวห้าวหาญของมัน ไฉนสลายคลายไปได้รวดเร็วปานนี้ ?"
สีหน้ากิมเหล็งแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย โพล่งถามขึ้น
"ฮ้อก้า ท่านกำลังหัวร่ออะไร ?"
"ย่อมกำลังหัวร่ออยู่"
"แต่ฟังแล้วถึงกับคล้ายร่ำไห้"
ฮ้อก้าตบโต๊ะฉาดใหญ่ เบิ่งตาแค่นเสียง"
"กิมเหล็งโกวเนี้ยที่ร้ายกาจ ท่านกล้าดูแคลนเราผู้แซ่ฮ้อ หลั่งเลือดคลุกคลีในยุทธจักรมาหลายปี
บุกน้ำลุยไฟ วนเวียนในปากทวารพญายมมามิทราบกี่ครั้ง ไหนเลยเคยกลัวผู้ใดบ้าง
? หิ้วศีรษะล้อเล่นกับชีวิตมาหลายปีปานนี้ ยังมีกระไรต้องหวาดหวั่นพรั่นใจ
หรือพวกอัฐธวัชเป็นเทพยดากันทุกคน ไม่สามารถโค่นล้มปลิดชีวิต เรากลัวพวกอุบาทว์เหล่านั้นได้
? เฮอะ เฮอะ"
"เป็นชายชาตรีที่เข้มแข็งจริงๆ
.การค้าของเราสำเร็จแล้วกระมัง ?"
ฮ้อก้าพลุ่งพล่านดาลเดือด โพล่งสุดเสียง
"สำเร็จแล้ว !"
กิมเหล็งผลุดลุกขึ้น ประสานมือคารวะส่งเสียง
"ขอบคุณที่ประทานความช่วยเหลือ เก้าเมี่ยบ้อเซี้ย (ปีศาจเก้าชีวิต
ตายยาก)
แกร่งกร้าวห้าวหาญ มีขวัญราวหล่อหลอมจากเหล็กไหลจริงๆ"
เมื่อฮ้อก้าโพล่งคำ "สำเร็จแล้ว" ตอนนี้ต้องงุนงงเล็กน้อย นั่งเหม่อมองฝ่ายตรงข้ามแน่วแน่
คล้ายมิได้ยินกิมเหล็งว่ากล่าวกระไรเลย
กิมเหล็งส่งเสียงเรียกเบาๆ
"ฮ้อก้า ฮ้อก้า ท่านเป็นไรไปแล้ว ?"
ฮ้อก้าพลันสยิวกายเฮือกใหญ่ ดุจกับเพิ่งเรียกขวัญคืนกลับมาได้ ใช้ฝ่ามือถูหน้าแรงๆกลายครั้ง
ยืดอกตอบ
"เป็นไรแล้ว ? เรามิได้เป็นไรเลย นี่มิใช่นั่งเป็นปกติอยู่ในที่นี้หรือไร
?"
กิมเหล็งกล่าวด้วยความระมัดระวัง
"เราเห็นท่านคล้ายจิตใจมิได้อยู่กับตัว ฮ้อก้า ใช่มีความยากลำบากในที่ใดหรือไร
?"
"เฮอะ เฮอะ ยากลำบาก ยังมีความยากลำบากใด ? โบราณว่าไว้ถูกต้อง ชายชาตรีลั่นปาก
หนักแน่นมั่นคงดั่งขุนเขา เมื่อผู้แซ่ฮ้อรับภาระของเรื่องราวไว้ จะดีจะชั่วก็ขอแบกภาระสืบไป
หวาดกลัวจนหดหัวหดหางไม่อาจนับเป็นบุคคลได้"
"เราทราบว่าท่านต้องรับภาระไว้ ฮ้อก้า ท่านลั่นปากแล้วมีสัจจะอยู่เสมอมา
เป็นชายชาตรีที่แท้จริง"
ฮ้อก้าพลันรู้สึกปากแห้งคอแห้ง ยกน้ำชาครึ่งถ้วยกรอกลงไปจนแห้ง แค่นเสียงถาม
"บอกมาเถิด กิมเหล็งโกวเนี้ย ท่านบาดหมางกินใจ กับเจ้าตัวใดในโป้ยฮวงหวย
?"
"กัวเง็กเซ้ง
"
สีหน้าฮ้อก้าชาด้านไปชั่วครู่ จึงพึมพำเบาๆ
"กัวเง็กเซ้งที่มีฉายาเง็กท้อจื้อ (ทารกหยก
รูปงาม) เจ้าของธงประกาศิตฮ้วยเล้งเหล็ง
(โลหิตศักดิ์สิทธิ์)
สีหน้ากิมเหล็งพิกลอย่างยิ่ง คล้ายนามนี้มีอำนาจที่พิเศษพิสดารต่อนางก็ปาน
เพราะนางคล้ายดั่งอาฆาตแค้นอยู่บ้าง ครุ่นคิกคำนึงถึงอยู่บ้าง เศร้าโศกเสียใจอยู่บ้าง
นับเป็นความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง
ฮ้อก้าที่สังเกตเห็น อดรู้สึกคลางแคลงสงสัยไม่ได้ ในระหว่างกัวเง็กเซ้งกับกิมเหล็ง
มีความเกี่ยวพันเยี่ยงไรกันแน่ ?
ฮ้อก้าต้องปลุกตัวเองให้มีความระมัดระวังกว่าเดิมหากลุยเข้าไปอยู่ในนปลักน้ำขุ่นนี้
ต้องระมัดระวังจนรอบคอบสุขุมที่สุด ยามใดก่อกวนไม่ถูกต้อง ชั่วชีวิตนี้ น่ากลัวต้องถูกก่อกวนจนไม่มีถอนตัวได้เลย
กิมเหล็งหรุบสายตาลง ถามด้วยน้ำเสียงผิดปกติกว่าเดิม
"ท่านกับกัวเง็กเซ้ง เคยรู้จักกันมาหรือไร ?"
ฮ้อก้าระบายลงจากปากยาวๆ ก่อนจึงตอบ
"มันเป็นตัวการเข่นฆ่าสังหารผู้คนโดยเฉพาะ ส่วนเราเป็นคนที่จงใจช่วยคน
ไหนเลยจะรวมอยู่ด้วยกันได้ เพียงแต่ว่า เมื่อฆ่าคนมากแล้วก็มีชื่อเสียงเช่นกันในด้านนี้
ผู้แซ่กัวพอจะเป็นคนมีชื่ออยู่บ้าง"
"มันมิใคร่จะตอแยง่าย
"
"ไหนเลยเพียงตอแยยากเท่านั้น ยังนับว่าไม่บังควรตอแยเลย ผู้ใดท่านไม่ไปก้าวร้าวล่วงเกิน
แต่เจาะจงมามีความอาฆาตแค้นกับผู้แซ่กัว กิมเหล็งโกวเนี้ย โอ
นับว่าหาการค้ารายใหญ่ให้แก่เราจริงๆ
"
กิมเหล็งแค่นเสียงกล่าวด้วยความไม่พอใจ
"ดูสารรูปหวาดหวั่นจนขวัญฝ่อของท่าน เมื่อครู่ยังตบอกถลกแขนเสื้อ มีท่าทีดั่งชายชาตรีที่ห้าวหาญ
แต่พอเอ่ยถึงกัวเง็กเซ้ง ท่านก็คล้ายลูกหนังถูกปล่อยลมอ่อนระทวยจนกองเป็นก้อน
ฮ้อก้า ท่านว่าท่านเป็นชายชาตรีหรือไม่ ?"
ฮ้อก้าถอนใจเฮือกใหญ่ จึงกล่าว
"ในเมื่อเรารับปากท่านแล้ว ย่อมไม่ตบัดสัตย์คืนคำก็แล้วกัน แต่เราขอบอกไว้ก่อน
รับมือกับราชาฆ่าคนเหล่านี้ มิเป็นเช่นเดียวกับเหล่าร้ายอื่นใด เราพยายามสุดสิ้นความสามารถขอองเรา
จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ยังมิกล้าแน่ใจได้
"
"ฮ้อก้า ท่านก็ไม่ต้องประโคมความเก่งกล้าของผู้อื่น มาสยบทำลายความห้าวหาญของตัวเอง
โป้ยฮวงหวยมีคนมากอิทธิพลยิ่งใหญ่ก็จริง ใต้บารมีของกัวเง็กเซ้งมีผู้เก่งกล้าสามารถอยู่หลายคนก็จริง
แต่ท่านไหนเลยเป็นตะเกียงขาดน้ำมัน ? ในบรรดาผู้มีอาชีพคุ้มกันชีวิตคนฮ้อก้าท่านนับเป็นยอดฝีมือชั้นแนวหน้า
หาผู้ใดในแวดวงเดียวกันเทียมเทียบไม่ได้ หรือท่านจะยอมรับว่า ด้อยกว่าพวกโป้ยฮวงหวย
?"
ฮ้อก้าแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ฝืนยิ้มตอบ
"ผู้อื่นรวบรวมกำลังตั้งเป็นขบวนการยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลอำนาจครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างไกล
ใช้กำลังปล้นฆ่าช่วงชิง ส่วนพวกเราโดดเดี่ยวลำพัง ไปคุ้มกันชีวิตและสินค้า
หากปะทะกันโดยเปิดเผย โอกาสได้เปรียบต้องมีไม่มาก
แล้วกันไปเถิด ไม้ถกเรื่องเหล่านี้แล้วกิมเหล็งโกวเนี้ย
ในเมื่อการค้าของเราตกลงกันได้ ต่อไปก็ควรถกเรื่องสำคัญแล้ว"
"เงินค่าจ้าง ?"
"นี่คือเงื่อนไขที่ต้องตกลงก่อน ไม่ตกลงค่าใช้จ่าย พวกเราขายชีวิตแล้วยังต้องดื่มน้ำดื่มลม
เราคิดว่าท่านน่ากลัวต้องสืบเสาะ จนทราบกฎของพวกเราชัดเจนอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะราคาค่าตัวของเรา
?"
ท่านบอกราคามาเถิด มิต้องเกรงใจ เราขอบอกไว้ก่อน จุดหมายปลายทางของเรา คือ
ไต้พ้งเนี่ย (ผาพญาอินทรี) นอกกำแพงใหญ่ เมื่อถึงที่นั้น นับว่าภาระหน้าที่ของท่านเสร็จสิ้นสมบูรณ์"
"ไต้พ้งเนี่ยนอกกำแพงใหญ่ สวรรค์เป็นพยานนับว่าไกลเหลือเกิน อย่างน้อยต้องหลายพันลี้ทีเดียว"
"ฮ้อก้า ท่านต้องการเงินทองมากน้อยเท่าใด ?"
"ยามปกติ เราออกงานแต่ละครั้ง คิดวันละห้าสิบตำลึง โดยไม่รวมค่ากินอยู่
การค้าที่มีการเสี่ยงสูง เพิ่มอีกวันละยี่สิบตำลึง แต่การรับภาะของโกวเนี้ยท่านนั้นผิดกัน
เพราะเป็นการใช้ชีวิตออกล้อเล่นอย่างแท้จริง ดังนั้น ราคาต้องเพิ่มกว่าปกติบ้าง
เราเห็นว่า
"
กิมเหล็งสงบฟังถึงตอนนี้จึงสอดคำ
"เราให้ท่านวันละสามร้อยตำลึง โดยเราจะให้ท่านล่วงหน้าหกพันตำลึงก่อน
รอถึงจุดหมายปลายทางค่อยรวบรวมระยะวันเวลา ชำระแก่ท่านเสร็จสิ้นเลยเป็นไร
?"
"เป็นไร ?" ฮ้อก้าปิติยินดียิ่งนัก แทบจะผุดลุกขึ้นคารวะขอบพระคุณ
ละล่ำละลักตอบ
"ตกลงตกลง พวกเราตกลงกันเช่นนี้ กิมเหล็งโกวเนี้ย ท่านนับว่าทั้งรวบรัดตัดความ
ทั้งมือเติบใจกว้าง เราขอขอบคุณก่อน"
กิมเหล็งถลึงจ้องฮ้อก้าแว่บหนึ่งแล้ว พลิกข้อมือเบาๆ คล้ายดั่งแสดงมายากลก็ปาน
ในมือมีตั๋วแลกเงินอยู่ปึกหนึ่ง วางลงบนโต๊ะพลางกล่าว
"นี่เป็นตั๋วแลกเงินของร้านย่วยฮงหกฉบับ ฉบับละหนึ่งพันตำลึง ท่านตรวจนับดู"
ฮ้อก้ารับตั๋วแลกเงินยัดเข้าไปในอกเสื้อ หัวร่อฮาฮาตอบ
มิต้องตรวจนับ ท่านต้องอาศัยเราคุ้มครองชีวิต ยังจะให้น้อยแม้สักตำลึงได้หรือไร
?"
"พวกเราไปตอนเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เร่งร้อนเกินไปหรือไม่ ?"
"ไม่เร่งร้อนเลย พวกเราไปได้เร็วเท่าใดยิ่งประเสริฐเท่านั้น เร็วจนพวกเดียรฉานโป้ยฮวงหวยไล่ตามมาไม่ทันยิ่งประเสริฐ"
แต่แล้วฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ จึงถามต่อไป
"ถูกแล้ว เราลืมไปเรื่องหนึ่ง กิมเหล็งโกวเนี้ยท่านมีความอาฆาตแค้น
กับเจ้ากัวเง็กเซ้งด้วยสาเหตุใด ? และเป็นความแค้นประเภทใด ? ลองบอกมาฟังดู
เพื่อเราจะได้คาดคิดคำนวณ พวกมันอาจจะใช้ฝีมือใดมาประทุษร้ายพวกเรา
?"
สีหน้ากิมเหล็งเปลี่ยนแปรเป็นยะเยียบเย็นชาทันที ส่งเสียงกระด้าง
ความอาฆาตแค้นระหว่างเรา ลึกล้ำถึงระดับไม่อาจคลี่คลายไกล่เกลี่ย รุนแรงถึงระดับไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน
ท่านทราบเพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ เราบอกกับท่านกัวเง็กเซ้งจะต้องใช้วิธีนานาน
มาปลิดชีวิตเราให้ได้ ซึ่งไม่มีหนทางใดคลี่คลายไกล่เกลี่ยอีกแล้ว"
ฮ้อก้างุนงงชั่วครู่ จึงลุกขึ้นส่งเสียงพึมพำ
"อุบาทว์แท้ๆ วันละสามร้อยตำลึง มิใช่เป็นเงินน่ารับเลย"
อ้างอิง : บัญชาพญายม เล่ม 1 แปลโดย ว. ณ เมืองลุง
สนพ. บรรณาคาร 2528 |