|
เนื้อเรื่องย่อ :
ตอน ยอดคนสู่ยุทธจักร
ขอบฟ้ารำไรใกล้สาง จันทร์ข้างแรมยังลอยคว้างใกล้ลาลับ
อรุณรุ่งของปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศเหน็บหนาวจับใจ
ชายกลางคนอาภรณ์ดำ สวมหมวกสักหลาดสีดำ มือขวาหิ้วหีบไม้ขลิบทองสีแดงอยู่ใบหนึ่ง
หีบไม้นี้ยาวหนึ่งเชี๊ยะแปดนิ้ว กว้างประมาณหนึ่งเชี๊ยะ สวยงามกระทัดรัด
ตอนนี้เป็นเวลาเหน็บหนาวใกล้สาง ตามถนนหนทางไม่มีผู้คนสัญจร
ตอนชายกลางคนใกล้จะถึงซุ้มประตูใหญ่ของท่านเจ้าเมือง พลันชะลอฝีเท้าลงเหลียวมองด้านหลังแว่บหนึ่ง
เลิกชายเสื้อยาวขึ้น ซ่อนหีบไม้ไว้ใต้เสื้อยาว
บนซุ้มประตูสูงใหญ่ของจวนเจ้าเมืองโล้วจิว แขวนโคมกระดาษอยู่สองดวงยังคงมีแสงสว่างอยู่เลือนราง
ทหารยามถือทวนยาวสองคน ยืนตัวตรงอยู่ที่สองฟากข้างประตู
ทหารยามอีกผู้หนึ่งที่สะพายดาบ เดินไปๆมาๆอยู่ไม่หยุดยั้ง
ชายกลางคนชุดดำพลันฟุบตัวลง วิ่งอย่างรวดเร็วไปยังข้างสิงโตหินที่อยู่ริมซุ้มประตู
ล้วงหีบไม้ออกวางไว้แล้วหันกายเร่งฝีเท้าไป
ท่วงท่าของมันคล่องแคล่วว่องไวยิ่ง แสดงว่าเป็นคนมีวิทยายุทธ
ในความเลือนรางก่อนสว่าง กอปรกับคนชุดดำที่แคล่วคล่องปราดเปรียว ทหารยามหน้าซุ้มประตู
ถึงกับไม่รู้ตัวเลย
มาตรว่าสิงโตหินตัวนั้น จะห่างจากทหารยามเพียงวาเศษเท่านั้นเอง !
.
เที่ยงวันนั้น ชายกลางคนชุดดำปรากฏตัวบนเหลาสุราเค่งเซียนเกาะ ซึ่งใหญ่ที่สุดของนครโล้วจิวอีกครา
กลางวันอากาศแจ่มใส สามารถเห็นโฉมหน้าของคนชุดดำนี้ชัดเจน
วัยสี่สิบเศษ รูปกายสันทัด ใบหน้าผอมซูบ สองตาเป็นประกายแวววาว บ่งบอกความปราดเปรียวคร่ำโลกอยู่ชัดเจน
มันนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่างของชั้นสองเพียงลำพัง แต่บนโต๊ะมีตะเกียบอยู่สองชุด
แสดงว่ากำลังรอคอยคน
สุราอาหารถูกส่งมานานแล้ว แต่ไม่เห็นมีคนมา
คนชุดดำคล้ายดั่งรอจนรำคาญยิ่ง ขมวดคิ้วนิ่วหน้ารินเองดื่มเองก่อนแล้ว
หลังเที่ยง ในเหลาสุราที่นั่งกันแออัด เมื่ออิ่มหนำแยกย้ายกันไปกว่าครึ่งแล้ว
ชายกลางคนนี้คอสุราไม่เลวเลย สุราป้านละหนึ่งชั่งถูกดื่มจนไม่เหลือแม้สักหยดเดียว
มันสั่งมาอีกป้านหนึ่ง ลุกขึ้นถูมือไปมา แต่ต้องทรุดกายนั่งลงอีกครั้ง
รสชาดของการรอคอยผู้คนไม่น่าทนทานเลยจริงๆ
โดยเฉพาะ รอคนที่ไม่รักษากำหนดเวลา
แต่คนชุดดำคล้ายดั่งมีความจำเป็นมิอาจไม่รอได้ แม้จะนั่งบนพรมเข็มแหลมยังคงไม่กล้าถอนตัวจากไป
โต๊ะหกเจ็ดสิบตัวที่เคยมีคนนั่งอยู่เต็ม ตอนนี้เหลือเพียงสอองสามโต๊ะเท่านั้น
คนรับใช้สิบกส่าคนก็พากันแยกย้ายนั่งบนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน มีบ้างยังสัปหงกอีกด้วย
ชายกลางคนชุดดำระบายลมจากปากยาวๆ เอนหลังพิงพนักพริ้มตาพักผ่อนไปเสียเลย
พริบตาที่เพิ่งพักผ่อน ทารกใหญ่วัยสิบหกสิบเจ็ดปีทีท่าคล้ายขอทาน พลันปราดมาถึงที่หน้าโต๊ะ
ทรุดกายนั่งแล้วคว้าป้านขึ้นรินสุราใส่จอก
คนชุดดำมีคามระวังตื่นตัวยิ่ง ปฏิกิริยาก็รวดเร็วไม่น้อย แม้เสียงรินสุราจะแผ่วเบาเพียงไร
ยังคงรู้ตัวจนได้ รีบยื่นมือกดป้านสุราไว้พลางแค่นเสียงเย็นชา
"ท่านเป็นใคร ?"
ขอทานน้อยหัวร่อถาม
"ท่านใช่โซวแป๊ะคุ้ยหรือไม่ ?"
"ถูกแล้ว"
"อย่างนั้นคลายมือที่จับป้านสุราของเราก่อน"
"ท่านที่นับถือคือ
."
โซวแป๊ะคุ้ยระบายลมจากปากถาม แสดงแน่ชัด เมื่อถูกขอทานเยาว์วัยเรียกชื่อได้
จึงไม่กล้ามีความชะล่าดูแคลน วาจาให้ความนอบน้อมเกรงใจกว่าเดิมมากหลาย
ปากส่งเสียงมือคลายจากป้านสุรา ขอทานเยาว์วัยรินสุราเต็มจอก วางป้านลงแล้วถามอีก
"ท่านใช่มีฉายาเช่าเจี่ยปวย (บินบนยอดหญ้า) หรือไม่ ?"
"ไฮ ท่านไฉนทราบได้ ?"
ขอทานน้อยลดเสียงแผ่วเบากว่าเดิม
"ของที่ท่านส่งไป พวกเรารับไว้แล้ว"
"อ้อ พวกท่านตรวจดูแล้ว ?"
"ตรวจละเอียดแล้ว"
"มีขาดตกบกพร่องหรือไม่ ?"
"ไม่มี ยินดีบอกให้โซวเฮียท่านทราบไว้ พวกเราตกลงใจรับการค้ารายนี้แล้ว"
ยกจอกขึ้นกรอกแห้งแล้วกล่าวต่อ
"ท่านกลับไปบอกต่อเถ้าแก่ของท่าน การค้าตกลงกันได้ ให้มันสงบรอข่าวภายในสามเดือนนี้
พวกเราส่งศีรษะไปให้ ขอบคุณสุราจอกนี้ของท่าน ข้าพเจ้าขอลา"
จบคำผุดลุกขึ้น หันกายเดินออกไป โซวแป๊ะคุ้ยขมวดคิ้วเรียกไว้ ขอทานเยาว์วัยหันมาหัวร่อถาม
"ยังมีคำสั่งใด ?"
"ของท่านรับไว้แล้ว พวกเราสมควรมีระเบียบการรับกันบ้าง อัญมณีมูลค่าหลายสิบหมื่นที่ข้าพเจ้าส่งไป
ไม่ใช่เป็นจำนวนน้อยอาศัยวาจาไม่กี่คำของท่าน นับว่าเสร็จสิ้นเรื่องราวได้
?"
ขอทานน้อยเดินช้าๆกลับมา ทรุดกายนั่ง รินสุราอีกจอกหนึ่งดื่มก่อนจึงกล่าว
"พวกเราเป็นยี่ห้อตัวทอง ไม่หลอกหลวงทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า พวกเราพอจะไม่รับการค้ารายนี้
แต่เมื่อรับไว้แล้ว นั่นเป็นเรื่องราวของพวกเรา เรื่องราวจัดการไม่เรียบร้อยน้อมคืนของให้ครบจำนวน
ไม่ขาดแม้สักอีแปะเดียว แต่ทว่าจวบจนบัดนี้ พวกเรายังไม่เคยทำการค้าล้มเหลวมาเลยสักราย"
"เรื่องนี้ข้าพเจ้าทราบ แต่ทว่า
"
"เชื่อถือก็ใช้ได้แล้ว หรือยังต้องการให้พวกเราเขียนใบรับแก่ท่าน ?"
"เฮียตี๋น้อย ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเช่นนี้พอดี นั่นเป็นจำนวนที่มหาศาล
หากข้าพเจ้าไม่มีหลักฐานสักเล็กน้อยไหยเลยจะว่ากล่าวกับผู้ออกเงินได้ ?"
"โซวเฮีย ท่านก็คลุกคลีในยุทธจักรมานานปี อาชีพเช่นดั่งพวกเรา ไม่เคยทิ้งหลักฐานไว้ในมือผู้ใดโดยเด็ดขาด
บอกตามความสัตย์ ที่ท่านเห็นตอนนี้ก็ไม่ใช่โฉมหน้าแท้จริงของข้าพเจ้า"
โซวแป๊ะคุ้ยเขม้นมอง เห็นใบหน้าของขอทานน้อยมีคราบน้ำมันมอมแมม แม้นับว่ามิได้สวมหน้ากากหนังมนุษย์
ยังคงไม่อาจเห็นโฉมหน้าแท้จริงได้ชัดเจนอยู่นั่นเอง อดมิได้ต้องขมวดคิ้วกล่าว
"เรื่องนี้ข้าพเจ้าก็ชัดเจน แต่ท่าน
."
"ท่านรู้สึกข้าพเจ้าเยาว์วัย น้ำหนักของวาจาเบาเกินไปใช่หรือไม่ ? โซวเล่าเฮีย
ท่านสมควรครุ่นคิดให้ละเอียด หากข้าพเจ้าไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ทางขบวนการจะใช้ข้าพเจ้ามาหรือไร
?"
"เฮียตี๋น้อย เรื่องใบรับยกเลิกก็ได้ แต่บอกนามให้ทราบย่อมได้กระมัง
?"
ขอทานน้อยครุ่นคิดชั่วครู่จึงตอบ
"โซวเล่าเฮียต้องถามให้ได้ อย่างนั้นกลับไปบอกกับเถ้าแก่ท่าน ว่าท่านพบกับฮ้วยชิ้ว
(มือโลหิต) เซี่ยวซำก็แล้วกัน"
"ท่านก็คือฮ้วยชิ้ว (มือโลหิต) เซี่ยวซำ ?"
"โซวเล่าเฮีย ได้ทีอย่าละโมบเกินไป ข้าพเจ้านับว่าละเมิดกฎเกณฑ์มากแล้วขออำลา
คงมีโอกาสได้พบกันอีก"
จบคำไม่แยแสสนใจโซวแป๊ะคุ้ยอีก หันกายเร่งฝีเท้าไปโดยเร็ว
โซวแป๊ะคุ้ยยังคิดจะตวาดห้ามไว้ แต่พอเหลือบเห็นบนป้านมีรอยมือชัดตาอยู่ข้างหนึ่ง
ต้องตะลึงลานจนรีบกลืนวาจาที่ริมฝีปากกลับมา
ไม่เห็นมันเกร็งกำลังท่าทาง ก็สามารถกดรอยนิ้วมืออยู่บนป้านสุรา นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องปลอดโปร่งง่ายดาย
โซวแป๊ะคุ้ยเองก็สำนึกตัวไม่มีความสามารถกระทำได้
นี่ก็คือหลักฐาน !
เรียกผู้รับใช้มาชำระค่าสุรา พร้อมกับซื้อป้านสุรานั้นไปด้วย
ออกจากเหลาเค่งเซียนเกาะ มุ่งตรงไปที่โรงเตี๊ยมซาเอ็ง เก็บข้าวของขึ้นม้าเดินทางทันที
ที่แท้โซวแป๊ะคุ้ยก็มาจากเมืองอื่น เมื่อม้าคู่ขาออกพ้นประตูเมืองโล้วจิว
ลงแส้เร่งฝีเท้าโดยเร็ว
ห้อรวดเดียวเป็นระยะทางยี่สิบกว่าลี้ จนม้ามีเหงื่อซึมออกมา จึงรั้งบังเหียนให้มันชะลอฝีเท้าลงบ้าง
ตอนนี้ มันจึงครุ่นคิดถึงเรื่องราว ไฉนต้องนัดมาพบในโล้วจิว ? และไฉนต้องให้ตนนำหับอัญมณีส่งไปที่ข้างสิงโตหินหน้าจวนข้าหลวงใหญ่
?
หากแม้นอัญมณีมูลค่าหลายสิบหมื่นตำลึง เกิดพลาดพลั้ง โดยถูกผู้อื่นชิงล่วงหน้าฉวยไปก่อน
นั่นไยมิใช่เป็นเรื่องน่าหวาดเสียวอย่างยิ่ง ?
มือโลหิตเซี่ยวซำ มีศักดิ์ศรีเช่นไร ? ด้วยวัยเพียงเท่านั้น ถึงกับมีวิทยายุทธสูงเยี่ยมปานนั้น
? !
..
ชชื้อจิวเป็นนครโบราณ ฌ้อปาอ๋องเคยมาตั้งนครหลวงในที่นี้
เป็นชัยภูมิสำคัญที่นักการทหารโบราณต้องช่วงชิงกัน ผู้คนคับคั่งการค้าคึกคักจอแจ
โซวแป๊ะคุ้ยมุ่งตรงไปยังสำนักเปาเปียวป้อทงกลางเมืองชื้อจิว
ชื้อจิวมีสำนักเปาเปียวอยู่สามแห่งป้อทงเป็นสำนักไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่นับจ้งเปียเท้าลงไปจนถึงพนักงาน
มีเพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
จ้งเปียเท้า (ประมุขใหญ่) บ้วนซิ่วซัว ไม่อาจเอ่ยอ้างมีชื่อเสียงยิ่งใหญ่กระเดื่องดัง
นิสัยเงียบขรึมสำรวม เจียมตัวสมถะไม่ชมชอบขยายงาน คล้ายดั่งหาเพียงพอประทังชีวิตก็เพียงพอแก่ใจแล้ว
โซวแป๊ะคุ้ยค้ายคุ้นเคยอย่างยิ่ง พอเข้าประตูก็มีคนมาต้อนรับม้ามันไป
ไม่ต้องบอกกล่าวแนะนำ มุ่งตรงไปที่ห้องโถงชั้นในทันที
อาจบางทีมีคนลอบรายงานไปก่อนแล้ว บ้วนซิ่วซัวมีการตระเตรียมอยู่ก่อน จึงสงบรออยู่ในห้องโถงเพียงลำพัง
ห้องโถงชั้นในไม่กว้างใหญ่และไม่เล็กนัก มีเก้าอี้พนักสูงสิบกว่าตัว โต๊ะยาวหนึ่งตัว
สำนักเปาเปียวของบ้วนซิ่วซัวไม่ใหญ่ คนก็ไม่มีชื่อเสียงเกรียงไกรด
แต่เค้าหน้ากลับโอ่อ่าภาคภูมิยิ่ง ไว้เครายาวระอก คิ้วเรียวตาสุกใส หน้าสี่เหลี่ยมหูใหญ่
รูปกายสันทัดสง่าราศีสูงส่งน่าเกรงขาม
โซวแะคุ้ยมีท่าทีนอบน้อมยำเกรงต่อบ้วนซิ่วซัวไม่น้อย ประสานมือคารวะแต่ไกล
"บ้วนเฮีย ผู้น้องกลับมาแล้ว"
บ้วยซิ่วซัวบนเก้าอี้พนักสูง ย่อตัวเป็นทีคารวะตอบแล้วยิ้มแย้มทักทาย
"ตลอดทางท่านลำบากตรากตรำมาก รีบนั่งลงดื่มน้ำชาก่อนเถิด"
บนโต๊ะมีน้ำชาอยู่สองถ้วยก่อนแล้ว และยังมีควันกรุ่นแสดงว่าเพิ่งชงมา
โซวแป๊ะคุ้ยมิได้นั่งทันที แก้ห่อผ้าเล็กๆจากเอวก่อน จึงกล่าว
"บนป้านสุรานี้ มีรอยมือของมือโลหิตเซี่ยวซำอยู่ด้วย"
ส่งป้านสุราให้แล้วถอยหลังสองก้าวไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
บ้วนซิ่วซัวรับป้านสุรามา เพ่งพิจารณาอย่างละเอียด อีกเนิ่นนานให้หลังจึงผงกศีรษะกล่าว
"รูปของป้านไม่เปลี่ยน แต่มีรอยมือติดอยู่ นับเป็นความสำเร็จที่สูงเยี่ยมไม่น้อย"
"แต่ดูแล้ว มือโลหิตเซี่ยวซำเป็นเพียงทารกใหญ่วัยสิบห้าสิบหกเท่านั้น
แม้นับว่ามันผ่านการปลอมแปลงโฉมมา แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนเสียงที่เยาวัยไร้เดียงสามันได้"
บ้วนซิ่วซัวครุ่นคิดชั่วครู่จึงกล่าว
"เฮียตี๋ ท่านมุ่งตรงมาที่สำนักเปาเปียวเลยหรือไร ?"
"ผู้น้องมั่นใจว่ารอบคอบสุขุมยิ่ง ตลอดทางมีความระมัดระวังตื่นตัว ไม่เห็นมีคนสะกดรอยตามมาเลย"
บ้วนซิ่วซัวทรงกายช้าๆ เดินไปๆมาๆ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย แสดงว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญอย่างยิ่งอยู่
โซวแป๊ะคุ้ยทรงกายขึ้นกล่าว
"ผู้น้องขออำลาก่อน"
บ้วนซิ่วซัวชะงักเท้า แย้มยิ้มกล่าว
"ก็ได้ ท่านไปพักผ่อนสักครู่ กลางคืนค่อยจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่าน"
"มิกล้ามิกล้า แต่หวังว่าการไปครานี้มีความสำเร็จ ผู้น้องก็พอแก่ใจมากแล้ว"
บ้วนซิ่วซัวครุ่นคิดไม่โต้ตอบทันที แสดงว่ายังคิดไม่ออก เรื่องนี้ถูกต้องหรือผิดพลาด
?
โซวแป๊ะคุ้ยจึงยังต้องรีรอโดยไม่ทราบควรจะไปทันทีหรือไม่ ?
บ้วนซิ่วซัวเดินไปๆมาๆ ครู่ใหญ่จึงหันกล่าว
อ้างอิง : นางพญามหาภัย เล่ม 1 แปลโดย ว. ณ เมืองลุง
สนพ.บรรณาคาร 2524 |