เทียนฮุดเจี้ย

เพลินจิตต์ 2507
ประพันธ์สาส์น 2520
ศิลปาบรรณาคาร 2525
สร้างสรรค์ 2544

ผู้แต่ง : ลิ่วชั้งเอี๊ยง ผู้แปล : ว. ณ เมืองลุง
จำนวนเล่มจบ : 56 เล่มจบ (เล่มเล็ก) - เพลินจิตต์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2507
จำนวนเล่มจบ : 10 เล่มจบ - ประพันธ์สาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2520
จำนวนเล่มจบ : 10 เล่มจบ - ศิลปาบรรณาคาร - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2525
จำนวนเล่มจบ : 4 เล่มจบ - สร้างสรรค์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2544 (พร้อมกล่อง)
ข้อมูลเพิ่มเติม :

เนื้อเรื่องย่อ :

บทที่ 1
คืนวันวิวาห์

มันเป็นคืนที่จันทร์กระจ่างฟ้า ทั่วท้องนภาอันสุกสกาวใสสะอาด ประดับด้วยดวงดาวอันระยิบระยับคล้ายดั่งมีเพชรมณีอันล้ำค่าแฝงอยู่ก็ปานกัน ลมเย็นอันเฉื่อยฉิว พัดพาให้กิ่งไม้ใบหญ้าไหวอยู่เสียงซู่ซ่าอย่างน่าอภิรมย์
มันควรเป็นคืนที่เปี่ยมด้วยความสุขสดชื่น ในนิทรารมย์ ในแสงเดือนและสายลมเป็นยิ่งนัก
ถูกแล้ว ท่ามกลางตัวตึกอันตะหง่านที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นมีธงทิวและโคมระย้าห้อยสลับซับซ้อนอย่างสวยงามตระการตา เสียงพูดคุยและสัพยอกหยอกล้อบางครั้งบางคราว ก็ยังมีเสียงหัวร่ออย่างเปี่ยมด้วยความสุขผสานขึ้นมา
เห็นจากกระดาษแดงที่มีอักษรคำขวัญจารึก ซึ่งปิดอยู่ยังหน้าประตูใหญ่พร้อมทั้งเศษกระดาษของประทัดที่มีอย่างเกลื่อนกลาดในบริเวณนั้น คล้ายดั่งกับว่า คฤหาสน์อันโอฬารที่เห็นนี้ กำลังมีงานมงคลที่ใหญ่มโหฬารอยู่
จริงทีเดียวในคืนวันนี้ก็คือ คืนที่เจ้าสำนักนูกังแห่งเมืองเตียงปัก อันมีนามว่ามังกรทะยานฟ้า (กิวเทียนสิ่งเล้ง)ฮั้วเม้งฮึง ประกอบพิธีวิวาห์ให้กับบุตรีของตน อันคฤหาสน์ที่ใหญ่โตโอฬารนี้ ก็คือสมบัติของฮั้วเม้งฮึงนั่นเอง
ณ ลานกว้างหน้าตึกนั้น ขณะนี้ปรากฏเสียงหัวร่อดังขึ้นอยู่อย่างมิขาดระยะ บรรดาศิษย์ของสำนักได้เป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้ยกทั้งสุราอาหาร ไปมาพลุกพล่านมิขาดระยะ บนใบหน้าของทุกคนกราดไปด้วยรอยยิ้มที่ปิติยินดีอยู่อย่างเปี่ยมล้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนนัก วันนี้คือวันมหมงคลขอองเสี่ยวเจียะ และก็ได้มีบรรดาผู้ทรงเกียรติภูมิในบู๊ลิ้ม มาร่วมเป็นสักขีพยานอย่างมากมายคับคั่งมิหนำซ้ำบุตรเขยที่ได้มานี้ ก็คือบุตรมหาเศรษฐีใหญ่ของเมืองนี้ นามว่าโฮ้วแปะบ่วง และก็เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักฮั้เม้งฮึงนั่นเอง
ภายในห้องโถงใหญ่ เสียงหัวร่อยิ่งอึงคะนึงสนั่นหูกว่าภายนอกมากมายนัก ทั่วทุกสิ่งทุกอย่างได้ดำเนินไปในท่ามกลางความปิติยินดี และครึกครื้นสนุกสนานอย่างที่สุดแล้ว
แต่ทว่า ณ ที่ซึ่งอยู่ใต้ร่มไม้ใบหนาอันมีเงาครึ้มนั้น ขณะนี้ได้มีหนุ่มน้อยร่างผอมเกร็งผู้หนึ่ง กำลังยืนอยู่อย่างเงียบขรึม
หนุ่มน้อยผู้นั้นยืนอย่างสงบงันและเพ่งมองไปในห้องโถงอันกว้างใหญ่อย่างเลื่อยลอย
เห็นมือทั้งสองข้างของหนุ่มน้อยนี้กำลังทึ้งผมเผ้าของตนเองอยู่ ตลอดเวลาและบางครั้งบางคราว ยังปรากฏมีเสียงสะอื้นบังเกิดขึ้นอีกด้วย
หากแม้นว่าผู้ที่ได้เห็นเป็นผู้ชาญฉลาดแล้ว ก็ย่อมจะฟังออกว่า เสียงที่ครวญคร่ำออกมานั้น ได้แฝงไว้ด้วยความทุกข์ระทมอย่างเปี่ยมล้นปานหัวใจสลาและก็ได้ถูก ความพยายามสะกดกลั้นไว้อย่างเต็มที่จากหนุ่มน้อยอยู่ เพิ่มมิให้บังเกิดเสียงซึ่งระบายออกจากในใจนี้เลย
คล้ายดั่งกับว่า หัวใจของหนุ่มน้อยผู้นี้ กำลังจะแตกแยกทำลายออกเป็นเสี่ยง ด้วยความคับแค้นระทมใจ
ฉับพลันนั้นเองหนุ่มน้อยผู้นั้นก็แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ
อาศัยแสงไฟที่ทะลุลอดออกมาจากห้องโถงใหญ่ สามารถจะมองเห็นใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้นี้ได้อย่างถนัดชัดตาทีเดียว
แต่ทว่า มันก็ทำให้ผู้ได้พบเห็นบังเกิดความตื่นตกใจเป็นยิ่งนัก ทั้งนี้ก็เพาะว่า มันมิใช่เป็นใบหน้าอันสวยงามสะอาดน่าชมเลย มันกลับกลายเป็นใบหน้าพอเรียกได้ว่า ขี้ริ้วอัปลักษณ์อย่างสุดแสน
บนเค้าหน้าที่ปรากฏแก่ตานั้น มีรอยแผลเป็นขึ้นอย่างตะปุ่มตะป่ำและยังมีจุดดำด่างอีกเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ที่ซึ่งมิอาจจะทำให้ผู้ได้พบเห็น มิกล้าเพ่งมองอยู่นั้นก็คือผิวซึ่งเขียวคล้ำอย่างน่ารังเกลียดน่ากลัวเป็นที่สุด
ในขณะเวลานั้น หนุ่มน้อยนี้ยืนเพ่งมองดูแสงไฟที่สุกสว่างไหวอยู่ภายในห้องโถงใหญ่อย่างเจ็บช้ำระกำใจและฟังเสียงที่หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างครึกครื้น ด้วยความอัดอั้นและเศร้าสลดอย่างสุดแสน
ตาทังคู่ที่สดใสแวววาวและกว้างใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะกับใบหน้าอันขี้ริ้วอัปลักษณ์นี้ ได้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอันแวววับอยู่เปี่ยมล้น
หนุ่มน้อยบ่นพึมพำขึ้นกับตนเองว่า นี่จึงเป็นแก่นแท้ของชีวิตคนเรา และนี่คือผลที่ได้รับจากความใฝ่ฝันที่สูงสุดเอื้อม
มุมปากของหนุ่มน้อยนี้ ได้กระตุกขึ้นเล็กน้อยคล้ายดั่งกับว่า เหยียดหยามและแก้ขวยกับตนเอง แต่ก็ยังคงครุ่นคิดอย่างเศร้าสลดต่อไปว่า ซือม่วยท่าน….ท่านมิได้เข้าใจถึงน้ำใจไมตรีอันสัตย์ซื่อบริสุทธิ์และหนักแน่นของเราที่มีต่อท่านแม้แต่เล็กน้อยทีเดียว หรือท่านนั้นมิเคยได้เข้าใจถึงความรักปรารถนาที่มีต่อท่านอย่างจริงใจของเราทีเดียวหรือ แต่ทว่า ในยามนั้นปกตินั้นเหตุไฉนซือม่วยจึงได้ดีต่อเราถึงเพียงนี้ และก็ให้ความเอาอกเอาใจเป็นอย่างรอบคอบ ซือม่วยท่านได้สัพยอกล้อเลียนข้าพเจ้า ? หรือว่าท่านได้สมเพชเวทนาในตัวข้าพเจ้าเล่า
ใบหน้าอันสวยสดงดงามดุจดั่งดอกไม้แรกแย้มได้ปรากฏขึ้นในมโนภาพอย่างแจ่มชัด เงาที่ปรากฏนั้นสวยงามบาดตาอย่างมิอาจหาได้พบในที่อื่นๆ บุคลิกและวงหน้าที่สวยงามอ่อนโยนสูงสง่ายังคงประทับใจอยู่อย่างไม่ลืมเลือนเลย
แสงไฟที่สาดส่องลอดลงมานั้น ได้เห็นที่เบื้องหน้าของหนุ่มน้อยนี้ มีลำธารอันคดเคี้ยวกำลังไหลอยู่อย่างเอื่อยๆ ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าของตนในเงาน้ำอย่างรางเลือน
แล้วหนุ่มน้อยนั้น ก็ครวญคร่ำขึ้นอย่างโศกสลดรันทดใจ มือทั้งสองยกขึ้นปิดหน้าและกล่าวรำพันต่อไปว่า
ถูกแล้ว เรามีความขี้ริ้วอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะเทียมเทียบเป็นคู่กับซือม่วย ผู้มีความงามดุจดั่งเทพธิดาที่จุติลงสู่แดนดินได้ ไหนเลยจะเทียมเทียบกับซือตี๋ผู้องอาจงามสง่า ดุจดั่งเทพบุตรได้แม้แต่ปลายเล็บ
คนทั้งสองนี้ หนึ่งนั้นสวยสะอาดบาดตา ดั่งราวกับบุปผาเมื่อแรกแย้มหนึ่งนั้นองอาจงามสง่าคมสันเหนือธรรมดา ถูกทีเดียว ทั้งสองจึงสมควรเคียงคู่อยู่ร่วมกันทั้งสองจึงเป็นกิ่งทองใบหยก….
ครั้นแล้วก็คลายมือออกจากหน้า ทำให้เห็นตาที่คมโตใสสะอาดทั้งคู่นั้น มีประกายอันเคียดแค้นชิงชังทอออกมาอย่างแวววับ และครุ่นคิดต่อไปว่า แต่ทว่าเรามาตรแม้นจะมิอาจเข้าเคียงคู่กับซือม่วยได้ แต่ซือแป๋ก็มิสมควรจะละเลยต่อกฎบัญญัติแห่งสำนัก มิเรียกให้เราเข้าประลองฝีมือกับซือตี๋เพื่อพิสูจน์กำลังฝีมือ แต่กลับกระทำไปตามอารมณ์ของตน ยินยอมมอบตำแหน่งเจ้าสำนักรุ่นต่อไปให้กับซือตี๋ โดยประกาศต่อเหล่าหน้าแขกเหรื่อทั้งปวง….ซือแป๋ทำเยี่ยงนี้จะเป็นการถูกต้องหรือเรามาตรแม้นจะมีหน้าตาที่ขี้ริ้วอัปลักษณ์ แต่ก็มิอาจรับเป็นเจ้าสำนักแห่งนูกังดอกหรือ บุคคลผู้ซึ่งขี้ริ้วอัปลักษณ์จำเป็นหรือที่จะต้องตกอยู่ภายใต้การกีดกันหยามเหยียดของผู้คนอื่นๆชั่วชีวิต
หนุ่มนี้เจ็บช้ำอย่างสูงสุดแล้ว และก็เคียดแค้นชิงชังจนที่สุดเช่นกัน เล็บทั้งสองมือได้ถูกกดเข้าไปในเนื้อจนลึก
ฉับพลันนั้น ภายในห้องโถงใหญ่ก็ปรากฏเสียงหัวร่ออย่างพร้อมเพรียงกันดังสนั่นหวั่นไหว แล้วจึงมีเสียงชายชราที่กังวานหนักแน่นดังขึ้นว่า
อาฮกรีบไปหากังเสี้ยวเอี้ยมา วันนี้เป็นวันมหามงคลของเสี่ยวเจียะ เหตุไฉนมันจึงมิมาร่วมการต้อนรับแขกเหรื่อด้วย
แล้วผู้รับใช้ร่างอ้วนเตี้ย ก็เอ่ยรับคำแลเดินไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
คนผู้นั้นเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ชั่วครู่ และแล้วจึงเดินเข้ามาภายใต้ร่มไม้ต้นนี้
หนุ่มน้อยผู้น้อยขบกรามแน่นและครุ่นคิดอยู่ว่า แล้วไป เราจะออกไป…ก็เพื่อเป็นที่อุจาดตา และก็เพื่อให้เป็นสิ่งที่สามารถสนับสนุนให้เห็นว่า เจ้าบ่าวในคืนวันนี้องอาจสวยงามถึงขนาดไหน
พอได้คิดเช่นนั้น หนุ่มน้อยก็เดินออกไปอย่างแช่มช้า
คนใช้ร่างอ้วนเตี้ยรีบถลาลงมา และถามว่า
"เสี้ยวเอี้ย (บุตรหรือศิษย์ของเจ้านาย) เล่าเอี้ยเรียกข้าพเจ้าให้ตาม หาท่าน…."
เมื่อมันเห็นผู้ซึ่งตนกำลังหาอยู่ บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาที่ยังไม่ได้เหือดแห้งไป จึงมีความสำนึกเข้าใจได้ในทันที
ก็จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางกล่าวว่า
"ท่านก็จงอย่ายุ่งยากลำบากใจไปเลย เรื่องมันได้บรรลุถึงเพียงนี้แล้วก็จะมีหนทางใดที่จะขยับขยายได้เล่า อันสาวงามทั่วภิภพนี้มีอยู่มากมายก่ายกองนัก อาทรใดด้วยกับอนาคตภายภาคหน้า จะไม่มีสาวงามมาร่วมเรียงเคียงคู่กัน
หนุ่มน้อยหัวร่ออย่างเหงาหงอยและกล่าว่า
"อาฮก ท่านเป็นคนเดียวภายในโลกอันกว้างใหญ่ที่ได้เข้าใจในตัวข้าพเจ้า….อย่าได้กล่าวอีกเลย ข้าพเจ้าไหนเลยจะคู่เคียงกับผู้อื่นได้"
เมื่อกล่าวจบแล้ว ก็จึงก้มหน้าลงอย่างท้อใจ พร้อมทั้งก้าวยาวๆรีบรุดเข้าไปภายในห้องโถงใหญ่ทันที
คนรับใช้ร่างอ้วนเตี้ยก็จึงสั่นศีรษะช้าๆ และทอดถอนหายใจอย่างเห็นใจ
หนุ่มน้อยเมื่อได้เดินถึงประตูของห้องโถง แสงไฟที่สว่างจ้าบาดตาและกลิ่นสุราอาหารที่ร้อนแรงฉุนเฉียวได้โชยมากระทบ ทำให้แทบจะต้องบังเกิดอาการสะอึกเล็กน้อย
เสียงผู้คนได้ดังอึงคะนึงขึ้นทันทีแต่หนุ่มน้อยก็เดินก้มหน้าก้มตา โดยปรารถนาที่จะหาโต๊ะซึ่งอยู่ตามมุมมืดสักแห่งหนึ่งเพื่อหย่อนกายลง…
แต่ในขณะนั้น มันเสียงอันชายชราอันแข็งแกร่งดีงเรียกขึ้นว่า
"แชยี้ (แชคือชื่อ ยี้คือสรรพนามที่ผู้ใหญ่เรียกเด็ก) มาที่ข้างกายอาจารย์เถิด"
เสียงที่เอ่ยออกมานี้ ทำให้หนุ่มน้อยทราบได้ว่าเป็นอาจารย์เรียกตน จึงจำเป็นต้องเดินหักใจเข้าไปอย่างเงียบขรึม
ในห้องโถงอันกว้างใหญ่ ได้สงัดเงียบไร้สุ้มเสียงไปอย่างฉับพลันทันด่วน สายตาที่มีอยู่เป็นร้อยๆพันๆนั้น คล้ายดั่งกับว่าเป็นเกาทัณฑ์อันแหลมคมที่มีร้อยๆพันๆได้จู่โจมโถมเข้าทิ่มแทงร่างอันสนิทแน่น เสียงซุบซิบที่ทยอยดังขึ้นนั้น พอจะได้ยินแล้วว่า มีอยู่รอบข้างทุกแห่งหน
หนุ่มน้อยต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย ที่สะกดกลั้นความแค้นเคืองและความน้อยอกน้อยใจในความอาภัพอัปภาคย์ของตน เดินอย่างเงียบงันไปยังที่ร่างอันสูงใหญ่และมีใบหน้าที่สดใสระเรื่อ ผมขาวสะอาด
ชายชราผู้นี้ ก็คือเจ้าสำนักของนูกังนั่นเอง ชายผู้นี้มีนามสะท้านทั่วทั้งสองมณฑล เรียกกันว่ามังกรทะยานฟ้าฮั้วเม้งฮึง
ชายชรากวาดตามองดูใบหน้าของหนุ่มน้อยครั้งหนึ่ง แล้วจึงประสานมือขึ้นคารวะไปรอบๆทิศ พลางกล่าวว่า
"ญาติและมิตรผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ได้มาโปรดทราบด้วย อันคนผู้นี้ก็คือศิษย์คนโต ผู้ซึ่งไม่มีฝีไม้ลายมืออันใดของข้าพเจ้า นามว่ากังแช"
เสียงซุบซิบได้ดังทะยอยขึ้นอย่างฉับพลันและท่ามกลางเสียงซุบซิบนั้น ได้มีเสียงแค่นหัวเราะอย่างหยามเหยียด และเสียงหัวร่ออย่างเย้ยหยันดังผสานขึ้นอยู่เป็นครั้งคราว
หนุ่มน้อยได้นั่งลงอย่างแช่มช้าด้วยความทอดอาลับตาหยาก สายตาที่มองกวาดผ่านไปนั้น ได้ปรากฏพบว่าโต๊ะซึ่งตนได้นั่งอยู่นั้น มีดรุณีน้อยร่างงดงามอยู่อีกสี่ห้าคนร่วมด้วย และขณะนี้ได้ใช้สายตาอันรังเกียจเดียดฉันท์จับจ้องมองมาที่ตนอยู่อย่างเคียดขึ้ง แต่เมื่อได้ประสานกับตนแล้ว จึงได้เบือนหน้าออกไปอย่างหยามเหยียดเป็นยิ่งนัก
หนุ่มน้อยผู้ซึ่งมีนามว่ากังแชนี้ มีความเจ็บปวกรวดร้าวอยู่ในใจอย่างแสนสาหัสปมด้อยอันน่าสมเพชเวทนาได้บังเกิดขึ้นอย่างจับจิตจับใจจนรุนแรง กำลังจะขอแก้ตัวหลบเลี่ยงออกไปจากที่นี้ แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงปรบมือดึงกึกก้องสนั่นขึ้นทั่วทิศ และยังมีเสียงตะโกนโห่ร้องดังประสานมาว่า
คู่บ่าวสาวมาแล้วคู่บ่าวสาวมาแล้ว….
และในฉับพลันทันใดนั้น ก็มีเสียงชมเชยแซ่ซ้องสรรเสริญขึ้นอยู่อย่างเซ็งแซ่มิขาดหู
กังแชรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นนี้ แตกต่างกับเมื่อตนได้ย่างเหยียบเข้ามา เป็นไปคนละอย่างดั่งราวกับฟ้าดิน เป็นการผิดแผกแตกต่างกันอย่างเห็นชัดถนัดตาเลยทีเดียว
ทั่วทั้งพิภพอันกว้างใหญ่นี้ ที่แท้ก็อำมหิตไร้ไมตรีก็เพียงนี้ทีเดียว ทุกคนก็พึงปรารถนาในการยกยอสิ่งเลิศประเสริฐอยู่ แต่ยากยิ่งนักที่จะหาผู้ที่มีความสมเพชเวทนาในที่ต่ำต้อยเลย
สองหูนั้น ได้ยินเสียงกระซิบ ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา จากหญิงที่ร่วมโต๊ะมาว่า
"เฮอะ ตชคู่บ่าวสาวทั้งสอง ช่างมีความสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่งแล้ว ท่านคงได้เห็นโฮ้งซือเฮียในคืนวันนี้ ได้สวมใส่เสื้อยาว ที่ตัดด้วยแพรต่วนสีน้ำเงิน…และสวมใส่เสื้อกั๊กเบื้องนอกด้วยสีอันขาวสะอาด…มันเป็นความองอาจงดงามแสดงอย่างสุดแสน เฮอะ…ไหนเลยจะคล้ายดั่งกับผู้ซึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้าของพวกเรา ที่แม้แต่ภูติผีเทวดาเห็นแล้ว ยังจะต้องรังเกียจเดียดฉันท์"
ใบหน้าของกังแชขณะนี้ ได้ชักกระตุกอย่างแค้นเคืองและเจ็บช้ำเป็นเวลาชั่วครู่ ในขณะนี้คู่บ่าวสาว เจ้าบ่าวอันมีนามว่า โอ้วเอ็ง กำลงควงแขนกับเจ้าสาวผู้มีความงามอันล้ำเลิศ หรือเป็นบุตรีสุดที่รักแห่งมังกรทะยานฟ้าฮั้วเม้งฮึงนั่นเอง นางมีนามว่า ฮั่วเลี่ยวอี่ ขณะนี้คนทั้งสองกำลังคารวะและรินสุรา เพื่อน้อมคำนับต่อแขกเหรื่อ บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอันสดชื่น ปิติยินดีกราดอยู่อย่างเปี่ยมล้น
ในใจของกังแช ก็บังเกิดความเจ็บปวดรวดร้าวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตาทั้งสองที่กวาดไป ก็เห็นอาจารย์ของตนฮั้วเม้งฮึงกำลังยกมือลูบเคราอันยาวเหยียด ด้วยใบหน้าที่เต็มไปอย่างปิติยินดีเป็นล้นพ้น
อาจารย์ได้หันไปกล่าวกับชายชราผู้ว฿งนั่งอยู่ข้างๆกายตนอย่างลิงโลดพอใจว่า
"ซิมกงเฮียหนุ่มสาวคู่เยาว์ทั้งสองนี้รู้สึกจะเหมาะสมกันอยู่บ้าง แต่น่าเสียดายที่ญาติทางฝ่ายชาย รีบรุดมามิทันเวลา แต่เพียงได้ส่งของกำนัลอันมีค่ามากมายมาแทนตัวเท่านั้น…ฮา…ฮา…"
กังแชรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างสุดแสนที่ตนได้เล็กน้อยจนไร้ความหมายไปถึงเพียงนี้ มิได้รับความเห็นชอบและสนใจจากผู้อื่น ใครบ้างเล่าที่ยังจะจดจำได้ว่ามีตนร่วมอยู่ในสถานที่นี้ด้วย
กังแชเหม่อมองดูห้องโถง ที่ตกอยู่ท่ามกลางเสียงอันจอแจจนอึงคนึงนี้ ก็ได้หันมามองดูร่างอันหงอยเหงาเปลี่ยวของตน ซึ่งยิ่งทำให้มิอาจจะนั่งลงได้แล้ว ต้องลุกขึ้นเงียบๆและเร้นกายหายจากไป
เมื่อไปแล้วยังได้ยินเยงของมังกรทะยานฟ้าฮั้วเม้งฮึงดังจากเบื้องหลังว่า
"เอ็งนี้ เป็นผู้ที่ข้าพเจ้ามีความรักใคร่ตลอดมา…ดังนั้นเองอันตำแหน่งเจ้าสำนักของนูกัง…ไม่มอบให้กับมัน แล้วจะมอบให้กับผู้ใดใครเล่า"
ในห้องโถงใหญ่ จึงอึงคนึงไปด้วยเสียงขอแสดงความยินดีอย่างกึกก้อง และได้กลบเสียงปรบมือ อันดังสะท้านหูไปจนอื้ออึง

อ้างอิง : เทียนฮุดเจี้ย เล่ม 1 แปลโดย ว. ณ เมืองลุง สนพ.เพลินจิตต์ 2507


      Post Request

 

 

หอสะสมตำรา
หอสะสมตำรา (ว. ณ เมืองลุง)