|
เนื้อเรื่องย่อ
:
ต้นเรื่อง
ยามสนธยาอาทิตย์จะลับฟ้า
..
แสงอัศดงค์เรื่อเหลืองดั่งเปลวทอง สาดส่องทั่วไปในพุ่มไม้ใบหญ้าจนละลานตา
นกกาโผบินกลับรวงรัง ส่งเสียงเซ็งแซ่จอแจ ควันไฟในห้องครัวลอยตัวตามปล่องเป็นเส้นสาย
เนินทิวทัศน์ยามเย็นของปลายฤดูชิวเทียนจนตรึงตราประทับใจ
เงาขุนเขางั่งทังซัวอันมหึมา ถูงแสงสนธยาพาไปทาบไว้ในท้องทะเลตังไฮ้ ดงไม้และพุ่มพฤกเขียวขจี
ถูกแสงสุดท้ายของทิวาฉาบไล้จนกลายเป็นสีทองระเรื่อ
ยามนี้ บนยอดเขาตรงข้ามกับน้ำตกตั้วเล่งชิวอันขึ้นชื่อลือชา พลันมีเสียงเปิดประตูดังออดแอดขึ้น
บนยอดภูเขาลูกน้อยที่มิใคร่มีร่องรอยผู้คนสัญจร ถึงกับมีผู้มาสร้างกระท่อมไว้สามหลัง
ที่ล้อมรอบกระท่อมทั้งสามเป็นสวนดอกไม้ซึ่งถูกยกร่องไว้เป็นระเบียบ มีดอกไม้เบญจมาศหลากหลายสีบานสะพรั่ง
ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งจรุงใจ ผสานขึ้นเป็นภาพพจน์อันบรรเจิดเพริศแพร้ว กอปรกับโต๊ะเตียงภาชนะเครื่องใช้ในกระท่อมถูกเช็ดถูจนสะอาดปราศจากฝุ่นละออง
ประดับไว้ด้วยรสนิยมอันสูงส่ง กลิ่นอายตำหรับตำราของผู้คงแก่เรียนปรากฏอยู่เด่นชัด
เป็นที่เห็นได้ว่า เจ้าของกระท่อมนี้ย่อมิใช่เป็นชนชั้นธรรมดาสามัญแน่นอน
ประตูกระท่อมหลังกลางถูกเปิดช้าๆ ปรากฏร่างบุรุษอายุประมาณสี่สิบ ร่างกำยำล่ำสัน
หน้าตาคมคายสง่า บุคลิกโอ่อ่ามีราศี ในอาภรณ์ขาวสะอาดเดินออกมา
ฝีเท้าของบุรุษชุดขาวนี้ออกจะเชื่องช้า คล้ายดั่งมีความอาลัยอาวรณ์อยู่เป็นล้นพ้น
.
เห็นที่ชายโครงมีกระบี่ยาว บนบ่ามีห่อสัมภาระ แสดงว่ากำลังจะออกเดินทางไกล
.
บุรุษอาภรณ์ขาวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ช้อนตาขึ้นมองดูท้องฟ้า พลันหันกายกลับไป
สาวเท้าอย่างว่องไวจนถึงหน้ากระท่อม พร้อมกันนั้น ส่งเสียงร้องก้องขึ้นว่า
"เง็กเพี้ย เง็กเพี้ย
.."
พร้อมกับเสียงร้องเรียกของบุรุษชุดขาว ในกระท่อมก็มีเสียงหัวร่ออันสดใสไพเราะของสตรีดังขึ้นว่า
"ทิ้วกอกอ ท่านเป็นอย่างไร
."
เสียงมิทันขาดหาย ร่างสตรีในชุดแดงระเรื่อก็ถลันออกมา
บุรุษชุดขาวยืนยิ้มดูสตรีงามสะคราญปานบุปผาเบ่งบาน ในอาภรณ์แดงระเรื่อที่ยืนเกาะขอบประตู
กล่าวเสียงนุ่มนวลด้วยความรักประทับใจว่า
"เง็กเพี้ย ข้าพเจ้าจะไปในบัดนี้แล้ว"
สตรีอาภรณ์แดง กลอกตาหยาดเยิ้มของนาง พลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า
"ทิ้วกอกอ ท่านช่างเป็นไปเสียได้ ข้าพเจ้ายังชเข้าใจว่าท่านเรียกข้าพเจ้าเพราะลืมเรื่องใดไปเสียอีก
ที่แท้ท่านจะบอกกับข้าพเจ้าว่าจะไปในบัดดลเท่านั้น?"
"เง็กเพี้ย ท่านสมควรทราบ ว่าข้าพเจ้ามิคิดจะพรากจากท่านในระหว่างเวลานี้เลย"
สตรีอาภรณ์แดงถลึงตาดูบุรุษชุดขาว เชิดปากแสร้งกล่าวอย่างมีโทสะว่า
"ท่านกล้ากล่าวว่ามิไป ?"
"มิกล้า"
"อย่างนั้น ท่านยังมิรีบไป หรือว่าต้องการให้ผู้อื่นช่วงชิงตำแหน่งบู๊ลิ้มเต้ยอิ๊ดเกี่ยม
(กระบี่เหนือธรณี) อันเปี่ยมเกียรติภูมิไป ? ทิ้วกอกอ ท่านวางใจเถิด ข้าพเจ้ารู้จักรักษาตัวเองได้อยู่"
บุรุษชุดขาวหัวร่อเสียงกังวานพลางกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าท่านรู้จักรักษาตนเอง แต่ทว่า ข้าพเจ้าเกรงก่อนที่เงี่ยมตั้วเจ๊ยังมามิทันถึง
หากท่านเกิดปวดท้องจะคลอด นั่นไยไม่
"
บุรุษชุดขาวกล่าวมิทันจบ สตรีอาภรณ์แดงก็ตวาดเบาๆว่า
"ทิ้วกอกอ เรื่องราวของสตรี หรือท่านยังมีความรอบรู้มากกว่าข้าพเจ้าอีก
ไปอย่างวางใจเถิด ในยี่สิบปีมี ท่านพากเพียรฝึกฝนโดยมิเคยทอดทิ้งเลิกรา ก็มิใช่เพื่อช่วงชิงตำแหน่งกระยี่เหนือธรณีอันโอ่อ่าดอกหรือ?
หากแม้นท่านมีจิตใจพะวักพะวนเช่นนี้ จะต้องไม่มีที่ให้ท่านสอดตัวเข้าแข่งขันด้วยดอก
ทิ้วกอกอ หากแม้นท่านเกิดความท้อแท้ใจ ในปณิธานไยมิทำให้ชนชาวบู๊ลิ้ม ได้สาปแช่งข้าพเจ้าจนกลายเป็นนางปีศาจฮู่ลี้ดอกหรือ"
บุรุษชุดขาวฟังแล้วขมวดคิ้วจนแนบแน่น กล่าวเสียงหนักๆว่า
"เพื่อลบล้างคำประณามของเพี้ยม่วย เพื่อให้สหายในบู๊ลิ้มได้เข้าใจว่าเพี้ยม่วยเป็นนางอสูรถูกปรักปรำ
ข้าพเจ้าเจี๊ยะทิ้วหากไม่อาจช่วงชิงตำแหน่งบู๊ลิ้มเต้ยอิ๊ดเกี่ยม (กระบี่เหนือธรณี)
ชั่วชีวิตนี้จะสาบานไม่ย้อนกลับมางั่งทังซัวอีก เพี้ยม่วย โปรดรักษาตัวไว้ให้เป็นสุขสมบูรณ์
เพื่อข้าพเจ้า เพื่อทารกของเราที่กำลังจะปฏิสนธิในเร็ววันนี้ ขอให้รักษาร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์
."
บุรุษชุดขาวกล่าวมิทันสิ้นเสียง สตรีอาภรณ์แดงที่กำลังงุนงงอยู่นั้น ประกายสีขาวพลันพุ่งวาบไปดุจสายฟ้า
กรีดผ่านอากาศเพียงวูบเดียวก็หายวับลับตา
"ไปแล้ว ทิ้วกอกอ ในที่สุดท่านก็ไปแล้ว หวังว่าท่านสามารถเทิดสัญญลักษณ์กระบี่เหนือธรณีกลับมายังที่ข้างกายข้าพเจ้าอีก"
สตรีอาภรณ์แดงนามปึงเง็กเพี้ย ทอดตาเหม่อมองดูทิศทางที่เงาสีขาวหายลับ คิ้วของนางขมวดมุ่น
ก้มหน้าอธิฐานอยู่เบาๆ หยาดน้ำตาอันสดใสสองสาย กำลังหลั่งไหลลงบนร่องแก้มที่ระเรื่อ
หยดหยาดลงสู้พื้นดิน
นางรู้สึกหงุดหงิดกลัดกลุ้ม ดั่งราวสังหรณ์ว่าการไปของทิ้วกอกอในครั้งนี้
จะไม่มีวันได้กลับมาอีก แล้ว
อาจบางที เจี๊ยะทิ้วจะไม่กลับมาจริงก็ได้ !
เจี๊ยะทิ้ว ฉายา บ้อเอี้ยเกี่ยม (กระบี่สลายเงา) อันเป็นยอดคนของบู๊ลิ้มยุคนี้
ที่มีเกียรติภูมิระบือลือเลื่องดุจอาทิตย์ยามเที่ยง นับแต่ออกจากงั่งทังซัวไปร่วมพิธีประลองกระบี่บนภูเขาซงซัวแล้ว
ก็มิได้กลับสู่งั่งทังซัวจริงๆ !
ที่เหลือไว้ในภูเขางั่งทังซัว คือความคิดคำนึงที่คร่ำครวญถึงทุกทิวาราตรี
หนึ่งปี แล้วอีกหนึ่งปี
ยามสนธยาอาทิตย์จะลับโลกของทุกวัน บนยอดเขางั่งทังซัว จะปรากฏร่างสตรีใรเสื้อแดงเก่าขาดคร่ำคร่ามืออุ้มทารก
มานั่งเซื่องซึมตะลึงลานอยู่บนโขดหินของยอดเขา หลั่งน้ำตาเหม่อมองขอบฟ้าด้วยความรันทด
สตรีนางนี้ คือปึงเง็กเพี้ยฉายาเทียนน้ำม้อนึ้ง (นางอสูรทักษิณ)
อีกหนึ่งปี แล้วอีกหนึ่งปี !
นับแต่ปีที่หกเป็นต้นมา สตรีอาภรณ์แดงและทารกผู้บุตร พลอยสาปสูญไปจากยอดเขาด้วย
อ้างอิง กระบี่เหนือธรณี เล่ม 1
สำนักพิมพ์ ประพันธ์สาส์น 2509 |