|
เนื้อเรื่องย่อ :
เกริ่นนำ
บนยอดเขาสูงเทือกหนึ่ง
ที่มีอากาศเย็นเยียบ ม่านหมอกห่มคลุมชั่วนาตาปี
มองจากลานหน้ากระท่อมหินบนหน้าผาสูง จะสามารถเห็นสีเขียวครามของยอดเขาน้อยใหญ่
ลดหลั่นกันไปจนสุดขอบฟ้า
คนคนหนึ่ง
กับกระบี่เล่มหนึ่ง
พร้อมรอยยิ้มที่เดียวดาย และเพลงกระบี่ที่เดียวดาย
ผมของมันเป็นสีดอกเลาคลุมไหล่
แต่กล้ามเนื้อทุกส่วนตึงแน่น เช่นคนวัยฉกรรจ์
ผิวของมัสีขาวเปล่งปลั่ง
ดวงตาเหนือจมูกโด่ง แทนที่จะขุ่นมัวดั่งสีผม
กลับสุกใสกระจ่างเช่นดาวรุ่งสองดวง
ความจริงมันมิได้ชรา
อายุของมัน เพิ่งย่างสามสิบห้า
แต่ไฉนผมต้องหงอกขาว
อาจเป็นเพราะวันเวลาที่ผ่านมาในชีวิต มันพบกับเรื่องราวมากหลายให้ขบคิด
ชะตากรรมที่ผกผัน กัดกร่อน ทำให้มันต้องอยู่ในสภาพที่ทุกคนเห็น
มันจึงมีรอยยิ้มที่เดียวดาย ชีวิตที่เดียวดาย
แต่หนึ่งเดียวที่มันมั่นใจ คือวิชากระบี่
เพลงกระบี่ที่มันฝึกไม่เหมือนใคร โดดเด่นสมกับบุคลิกและนิสัยของมัน
ฉับพลัน รวดเร็ว เป็นหนึ่งเดียว
แต่คืนหนึ่งความมั่นใจของมัน พลันสูญสลาย
เมื่อเผชิญกับดาบในฝักสีแดงเล่มหนึ่ง
ดาบเหล็กน้ำพี้ที่มีความแกร่งและคมไม่แพ้กระบี่เหล็กเย็นจากท้องทะเลน่ำไฮ้ของมัน
ผ่านการดวลไปทั้งหมดเจ็ดสิบสองกระบวนท่า
ขณะกระบี่เปล่าอานุภาพสูงสุด
มันคิดว่าคู่ต่อสู้ต้องทิ้งดาบยอมแพ้ หรือไม่ก็ยอมให้ตัวเองบาดเจ็บล้มตายพร้อมดาบในมือ
ไฉนเล่าจะคาดคิด
ผู้ใช้ดาบที่มีวิชาเพลงดาบสูงเยี่ยมท่านนั้น
กลับใช้กระบวนท่าดุจพะเนินเหล็กหรือน้ำตกพลังแรงมหาศาลเข้าแก้ไขเพลงกระบี่
จนมันกระบี่หัก
(เหตุการณ์นี้อยู่ในจอมดาบน่านเจ้าตอนพนันรัก)
หลังกระท่อมหินของมัน
มีน้ำตกอยู่สายหนึ่ง
เป็นเส้นสายสีขาว โจนทะยานลงจากหน้าผาสูง เสมือนเทออกจากกระบอกมหึมา
เวลากระทบกับแสงอาทิตย์ทั้งยามเช้ายามเย็น
ปรากฏสายรุ้งหลากสี ทอประกายเลื่อมพรายคล้ายวิมานแมน
ใต้พลังน้ำตก ใต้สายรุ้งอันวิจิตรพิสดารนั้น
ทุกเช้าค่ำมันฝึกวิชากระบี่
ด้วยกระบี่เล่มใหม่ ที่ตีขึ้นจากเหล็กเหนียวเย็นของท้องทะเล อันเป็นกระบี่คู่แฝดของเล่มที่หักไป
กระบี่ยาวสามเชี๊ยะครึ่ง มันคิดว่าคงสามารถเรียกความมั่นใจของมันกลับคืนมา
ในยามเช้าที่แสงแดดเป็นสีทอง
ในยามเย็นที่เปลวตะวันแดงปานโลหิต
ใต้เงารุ้งพราย
จะเห็นประกายคมกล้าของกระบี่เล่มหนึ่งฉวัดเฉวียนเฉกสายฟ้าพาดแล่น
คนคนหนึ่ง
กระบี่เล่มหนึ่ง
เพลงกระบี่ที่เดียวดาย
ทุ่งกาหลง
เวิ้งว้างจนไร้ขอบเขต จะมองไปในทิศทางใด ก็ล้วนแต่พบยอดหญ้าที่สูงต่ำจนสุดสายตา
นี่คือทุ่งอันไพศาลของชายแดนน่านเจ้าด้านตะวันออก มีรัศมีกว้างยาวประมาณสมร้อยลี้
(1ลี้ = 576 เมตร) ถ้าเดินเท้าต้องใช้เวลาสามวันครึ่ง ถ้าใช้ม้าต้องใช้เวลาพักแรมสองคืน
เที่ยงวันที่สามจึงจะถึงเมืองน้ำแซบอันอยู่สุดเขตแดนทุ่งหญ้าด้านใน ส่วนเขตแดนด้านนอกอันเปรียบเช่นประตูน่านเจ้า
เปิดไปสู่อาณาจักรฮั่น คือเมืองภูเก้า เมืองสวยงามที่ราบสูงในอ้อมกอดของภูเขาเก้าลูก
ในความเวิ้งว้างที่เงียบเหงา แสงตะวันที่แผดจ้า ปรากฏม้าขบวนหนึ่งพร้อมผู้โดยสารเดินทางกันอย่างเงียบงัน
ผู้เดินทางชาวฮั่นคณะนี้ ประกอบด้วยคนหกคนอาศัยม้าเป็นพาหนะ และยังมีลาบรรทุกข้าวของที่จำเป็นในการรอนแรมในทุ่งกว้างอีกสองตัว
บรรทุกอาหาร เครื่องนอนและกระโจมที่พัก มีชาวไทอาชีพเป็นพรานชาวเมืองภูเก้าคนหนึ่ง
ถูกว่าจ้างให้เป็นผู้นำทาง
พวกมันมิได้มุ่งไปยังเมืองน้ำแซบ แต่เดินทางไปบนเส้นทางรกร้างเปล่าเปลี่ยวซึ่งคนทั่วไปมิได้ย่างกราย
นอกจากชาวท้องถิ่นเท่านั้น
พวกเขาบอกพรานนำทางว่า อยากท่องไปในทุ่งกว้าง อยากเห็นขุนเขาลักษณะพิเศษลูกหนึ่ง
ซึ่งมีหน้าผาชะง่อนเงื้อมสูงเสียดฟ้าที่มีชื่อว่า เขาอีแร้ง เฒ่าอิ่มพรานนำทางบอกว่าขุนเขาลักษณะนั้นมีจริง
"เจ้ามิได้โกหกเรานะตาเฒ่า" กิมเจ็งผู้สะพายดาบโค้งยาวและเป็นหัวหน้าคณะถามเสียงตื่นเต้น
"ให้ผีไท้ผีแถนหักคอข้า ถ้าข้าคิดหลอกลวงท่าน ข้าเคยไปเห็นมาแล้วสามครั้ง
ถ้าไม่เชื่อให้ข้าสาบานอีกก็ได้ เกิดชาติหน้าชาติไหนขอให้ข้าเป็นลูกเต่าลูกสุนัข
ข้า
"
"ข้าเชื่อเจ้า" กิมเจ็งรีบขัดขึ้น "แค่พอจะบอกได้ไหมว่า เขาอีแร้งอยู่ห่างจากที่นี่เดินทางใช้เวลากี่วัน"
"ไม่เกินสี่วัน เดินตัดทุ่งหญ้าไปทางทิศใต้"
"เจ้ามีความสามารถนำทางพวกข้า"
ชายผิวดำร่างเล็กรีบสาบาน
"ขอให้ผีไท้ผีแถนเป็นพยาน
ข้า
"
"พอแล้วตาเฒ่า" กิมเจ็งต้องโบกมือห้ามชายชราอีกครั้ง "เจ้ารู้ไหมว่า
ในทุ่งหญ้านั้นมีมนุษย์กินเนื้อดิบ"
"รู้ แต่พวกมันกินเนื้อวัวเนื้อควาย มิใช่เนื้อมนุษย์อย่างที่ร่ำลือ
ข้าเองยังเคยแวะไปกินกับพวกมัน รสชาดนุ่มอร่อยใส่พริกใส่ข้าวคั่วคนเข้ากับเลือดสดๆ
ท่านลองชิมแล้วจะติดใจ ข้าเองก็
"
"พอแล้ว ตกลงเราจะว่าจ้างตาเฒ่านำทาง"
ชายชราใช้มือทั้งสองข้างถูกันไปมาอย่างดีใจ
"ถ้าเช่นนั้น ข้าขอความกรุณานายท่านโปรดจ่ายเงินสักเล็กน้อยล่วงหน้า
ข้าจะได้เอาไปให้นางแก่เมียข้าเก็บไว้ใช้จ่ายในจณะข้ารับใช้นายท่าน"
กิมเจ็งหัวร่ออย่างอารมณ์ดี
"ตาเฒ่า คงกลัวเราจะกลับกลอก" กิมเจ็งล้วงเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากห่อผ้าที่สะพาย
"ค่าจ้างนำทางของตาเฒ่าเท่าไหร่นะ"
"นายท่านบอกว่าจะให้ข้าร้อยตำลึง"
"นั่นหมายถึงตาเฒ่าพาพวกข้าไปพบเขาอีแร้งจริงๆ" กิมเจ็งอธิบาย
"เอ้า รับไปก่อนห้าสิบตำลึง ที่เหลือนั้นกลับมาถึงภูเก้าแล้ว ข้าจะจ่ายให้"
เฒ่าอิ่มรับเงินจำนวนนั้นด้วยมืออันสั่นเทา มันเป็นทรัพย์สมบัติครั้งแรกที่มากที่สุดในชีวิตของชายชรา
อย่าว่าแต่ให้พาไปเขาอีแร้งเลย ต่อให้กิมเจ็งปรารถนาให้เฒ่าอิ่มแบกเขาอีแร้งมาให้ดุ
เฒ่าอิ่มก็คงรับอาสา
พวกเขาออกเดินทางจากเมืองภูเก้าในเช้าวันต่อมา พวกเขาจะมาทำไม ในทิวเขาชื่อประหลาดนั้น
ทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยหญ้านานาชนิด มีต้นไม้ใหญ่ประเภทสนโบราณขึ้นประปราย
มองดูคล้ายคนชราซึมเซากำลังเฝ้ามองทุกสิ่งรอบด้านอย่างเงียบงัน
เมื่อผ่านหนองน้ำจึงเห็นฝูงนกมากมาย บินลงกินน้ำหาอาหารจากบึงบานต่างๆที่มีอยู่ประปรายในทุ่งหญ้า
บางแห่งก็เป็นลำห้วยน้ำใสไหลเอื่อยเงียบสงบ บางทีก็มีไก่ป่าบินกระต๊ากอย่างตกใจ
เมื่อขบวนม้าของพวกเขาย่ำผ่าน ยังเห็นกระต่ายวิ่งหัวซุกหัวซุน และยังมีสุนัขจิ้งจอกวิ่งหรุบหางชะม้ายตามองอย่างระแวดระวัง
ในความว้างที่ความเหว่ว้าแผ่คลุม ก็ยังมีชีวิตสดใสแซกซ้อน และให้ความอุดมสมบูรณ์ไม่น้อย
อีกอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างมีมากคืออีกา ตัวดำปรอดของมัน บินร่อนกางปีกสีนิลโฉบเฉี่ยวไหวๆอยู่บนกิ่งไม้แห้งของต้นไม้โกร๋น
ส่งเสียงร้องกา
กา อย่างแหบห้าว คล้ายคนโหยที่จวนจะเหือดแรง
กิมเจ็งถามคนนำทางชาวไทว่า
"ทำไมทุ่งนี้เรียกว่าทุ่งกาหลง"
เฒ่าอิ่มตอบว่า
"เพราะมันกว้าง ขนาดอีกาบินกลับรังไม่ถูก และนับประสาอะไรกับมนุษย์จะไม่หลง
หาทาางออกไม่ได้ จนกลายเป็นเหยื่อของหมาไน"
กิมเจ็งหันมองไปรอบด้าน ก็เห็นเพียงยอดหญ้าสุดขอบฟ้าท่ามกลางแสงแดดระยิบระยับอากาศร้อนอ้าวจนเหงื่อไคลท่วมตัว
ชักจะมีความเห็นคล้อยตามพรานนำทาง
พวกเขาเดินทางตามสบายมิเร่งร้อน เพราะเสบียงที่เตรียมมาพร้อมพรั่งบางวันก็ยังล่าได้กระต่ายกับไก่ป่ามาทำเป็นอาหารมื้อพิเศษ
เฒ่าอิ่มนับว่าชำนาญทางในทุ่งหญ้ามิน้อย เข้าใจเลือกทำเลที่พักในแต่ละคืน
บนเนินสูงใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งบางช่วงของวันมีชาวพื้นเมืองร่างเล็กตัวดำนุ่งผ้าเตี่ยวเปลือยกายท่อนบนโผล่ออกจากพงหญ้ามาสอบถามเฒ่าอิ่มด้วยภาษาที่กิมเจ็งกับชาวคณะฟังไม่เข้าใจ
แล้วผลุบหายไป
"เขาพูดอะไรตาเฒ่า" กิมเจ็งถาม
"เขามาถามมว่า พวกเราจะไปที่ใด"
"ข้าบอกว่า จะพาพวกท่านไปเยี่ยมหัวหน้าหมู่บ้านหลุบไผ่"
"บ้านหลุบไผ่อยู่ที่ใด"
"อยู่เชิงเขาอีแร้ง"
กิมเจ็งยิ้มแย้มให้ชายชราร่างผอม พึงพอใจในความฉลาดของแก
ยามเย็นเมื่อหยุดพักแรม กิมเจ็งจะจดบันทึกการเดินทางพร้อมทำแผนที่อย่างละเอียด
เฒ่าอิ่มไม่เข้าใจว่า ชาวฮั่นคนนี้ เขียนขยุกขยิกอะไร
พวกเขารอนแรมในทุ่งหญ้าสามคืน ตอนสายวันที่สี่ก็มาถึงหมู่บ้านหลุบไผ่
เฒ่าอิ่มสนิทสนมกับพ่อบ้านเป็นอย่างดี จึงฝากม้าพร้อมกับลาเอาไว้ บอกให้ชาวฮั่นทั้งหมดนำข้าวของติดตัวไปเท่าที่จำเป็น
กิมเจ็งบอกเฒ่าอิ่มว่า เขามีความประสงค์จะพักแรมคืนนี้ที่เขาอีแร้ง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับลงมา
คนทั้งหมดจึงต้องแบกสัมภาระที่จำเป็นบางอย่างเพิ่ม และตระเตรียมออกเดินทาง
เฒ่าอิ่มบอพ่อบ้านหลุบไผ่ว่า
"ข้าจะพาชาฮั่นไปดูเขาอีแร้ง"
พ่อบ้านมีอาการสะดุ้งหวั่นหวาด
"สูสติไม่ดีหรือไร ลูกหลานบ้านข้ายังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ มันเข็ดมันขวงมีภูติผีร่ำร้อง
บางคืนคนในหมู่บ้านยังได้ยินเสียงหัวร่อของมัน"
"ข้าไม่กลัวปีศาจ" เฒ่าอิ่มยืนยัน
"เพราะสูได้เงินจากชาวฮั่นใช่หรือไม่"
เฒ่าอิ่มไม่ตอบ รีบพาชาวฮั่นทั้งห้ามุ่งหน้าไปยังทิวเขาใกล้หมู่บ้าน
เชิงเขาเป็นป่าโปร่งอุดมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีกอไผ่ขึ้นสลับแซมอยู่ทั่วไป
ค่อนข้างจะรกเรื้อเพราะชาวบ้านมิกล้าขึ้นมาตัดไม้หรือหาของป่าใยบริเวณแถบนี้
จึงเห็นเถาวัลย์กอใหญ่ขึ้นเกาะระโยงยางตามต้นไม้ต่างๆ อากาศชื้นเย็นผิดกับทุ่งหญ้าข้างล่างลิบลับ
เสียงนกร้อง เสียงค่างบ่างชะนี้ดังมาแว่วๆ
พวกเขาเดินลัดเลาะไปตามก้อนหินและกอไผ่ไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงสันเขา
เป็นที่ราบเต็มไปด้วยต้นหญ้าอีกเช่นเคย แต่ฟากหนึ่งของทุ่งหญ้าเล็ก สามารถมองเห็นอย่างชัดแจ้ง
คือชะเงื้อมผาตระหง่านฟ้าที่กิมเจ็งอยากเห็น
"นั่นเขาอีแร้ง" เฒ่าอิ่มบอก
หน้าผาสูงลิบลับ เป็นโขดหินโล้นสีเหลืองหม่นปนขาว
ดูทะมึนสูงใหญ่ดั่งเสาค้ำฟ้า บนยอดโขดอันสูงลิบมีลักษณะคล้ายจงอยปากของปักษายักษ์
พิศไปพิศมาประหนึ่งหัวนกแร้ง ที่กำลังเมียงมองเฝ้าคอยเหยื่อ
มันคอยผู้ใด
กิมเจ็งโห่ร้องอย่างดีใจ
"เขาอีแร้งมีจริงๆ อย่างเสี่ยวจู้ (นายน้อย) คาดคิด" แล้วหันมาสั่งผู้ร่วมทาง
"พวกเราช่วยกันค้นหาน้ำตกดูที คืนนี้เราจะพักกันที่นั่น"
พวกเขาค้นหาไม่ยากเลย เพียงอ้อมโขดผาหัวนกแร้งประมาณหนึ่งลี้ ก็ได้ยินเสียงน้ำดังครืนครั่น
ก้าวเดินออกพ้นทิวไม้ น้ำตกขนาดใหญ่ก็ปรากฏแก่สายตา
เป็นน้ำตกรุนแรงไหลทะลักจากขุนเขาด้วยความสูงไม่ต่ำกว่าหกสิบเชี๊ยะ (1 เชี๊ยะเท่ากับ
0.32 เมตร) กระแสน้ำหลั่งล้นลงมากระทบโตรกหินร่องธารเบื้องล่างแตกกระจายเป็นฟูฝอย
ส่งเสียงคำรามอื้ออึงตลอดเวลา
ทั้งงดงามและน่าเกรงขาม
พวกเขาอาศัยลานหินกว้างริมธารของน้ำตกเป็นที่ตั้งกระโจมพักแรม
ต่างลงเล่นน้ำดำผุดดำว่ายอย่างเบิกบาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิมเจ็ง ภาระกิจที่มันได้รับมอบหมายมานับว่าเสร็จสิ้นแล้ว
หลังจากพักแรมที่นี่หนึ่งคืนตามคำสั่งของนายน้อย วันพรุ่งนี้พวกเขาก็ลงจากเขา
เดินทางกลับนครฮั่งจิว
เฒ่าอิ่มใช้วิธีการของนายพานจับปลาตัวใหญ่จากลำน้ำได้หลายตัว นำมาย่างที่กองไฟหน้ากระโจมที่พัก
ขณะปีกรัตติกาลในป่าสูงมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว พร้อมความสงบสงัดเข้ามาแทนที่
ได้ยินเพียงเสียงน้ำตกดังครืนคราง
พวกเขานั่งดื่มสุราสนทนากันเบาๆในเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาระหว่างช่วงการเดินทาง
จนกระทั่งยามต้นผ่านไป
สิ่งที่พวกเขามิคาดคิดก็เกิดขึ้น
เสี่ยงหัวร่อที่ครั้งแรกแผ่วเบา แล้วค่อยดังก้องขึ้นทีละน้อย จนโหยไห้แหบห้าวสะท้านเยือกเข้าไปในโสตรประสาทของทุกคน
ไม่ทราบดังมาจากที่ใด แต่ลอยวนอยู่ในทุกทิศทาง
เฒ่าอิ่มโดดเข้าไปนั่งกลางวง
"นายท่าน เขาลูกนี้มีปีศาจจริงๆ" ชายชราร้องครางด้วยเสียงสั่นระทึก
ในบรรยากาศเช่นนั้น เสียงหัวร่ออันพิกลพิการจะให้ชายเฒ่าเข้าใจเป็นอะไรได้
แต่กิมเจ็งไม่เชื่อ
ลักษณะที่ปกติเรียบๆร้อยๆของมัน บัดนี้ตื่นตัวเต็มที่ กล้ามเนื้อทุกแผงเขม็งแน่นพร้อมรับสถานะการณ์
กิมเจ็งผุดลุกขึ้น กระชากดาบโค้งออกจากฝัก อีกสี่คนที่ร่วมทางก็ชักอาวุธแตกต่างกันสี่ชนิด
ถือจังก้า
กิมเจ็งมีฉายาดาบสะท้านฟ้า อดีตของมันคือเปาเปียว มันเคยใช้ดาบโค้งยาวเล่มนี้ประหารเหล่ามิจฉาชีพที่หวังแย่งชิงสินค้ามาแล้วทั้งหมดสามสิบสองคน
ฉายาของมันจึงนับว่าได้มามิใช่โชคช่วย มันมีฝีมือกล้าแข็ง กำลังขวัญกร้าวแกร่งไม่น้อย
"ผู้ใด" กิมเจ็งตวาด "อย่าซ่อนหัวซ่อนหางข่มขู่เรา เราไม่กลัวเจา"
เสียงหัวร่อดังขึ้นอีก เจือข้นดังกังวานเยาะเย้ย
สายลมหอบหนึ่งกรรโชกพัดมา กองไฟที่ก่อไว้ไหววูบ ฟืนไม้ที่คุโชนติดเชื้อไฟปลิวว่อนลงธารน้ำตก
แสงสว่างที่มีหายวับ
ความมืดอนาธาลรุกเข้าแทนที่ พร้อมความเหน็บหนาวในเนื้อเยื่อของทุกๆคน
ลมธรรมชาติอะไรจะพัดรุนแรงตรงเป้าหมายได้เช่นนั้น หรือถ้าเป็นการกระทำของมนุษย์
บุคคลนั้นก็มีฝีมือน่าหวาดหวั่นจนคล้ายกลายเป็นภูตผีจริงๆแล้ว
เฒ่าอิ่มลนลานวิ่งออกไปหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ข้างกระโจมที่พัก บ่นงำงึม
"โอ
ผีไท้ผีแถน สูอย่ามาหลอกข้าเลย ข้ากลัวแล้ว"
เสียงหัวร่อดังยะเยือกขึ้นอีกครั้ง อย่างสาสะใจ กิมเจ็งกวาดสายตาสำรวจไปทั่วในความมืดรอบด้าน
"ผู้ใด ใยไม่โผล่หน้าออกมา เรากิมเจ็งฉายาดาบสะท้านฟ้า รับรองไม่หนีหน้าเจ้า"
มีเสียงพูดหวีดหวิวดุจเสียงลมพัดยอดสนดังแซกซ้อน เสียงหัวร่อแหบโหยที่ดังอยู่ก่อนตอบโต้กิมเจ็ง
"เด็กน้อย อย่าได้โอ่อวดต่อหน้าเรา เราผู้พิทักษ์ขุนเขา มิได้หวาดหวั่นอะไรกับมดปลวกเยี่ยงพวกเจ้า"
เสียงแหบห้าวคล้ายเป็นบุรุษ ดังอึงอลตอบมา
"ลูกเจ่าที่มิรู้จักสำนึก เราจะสั่งสอนความโอหังของเจ้า"
"ใช่
ใช่แล้ว ต้องตบตีลูกเต่าสักครา" เสียงหวีดหวิวคล้ายสตรีขานรับ
พวกเขาทั้งหมด เห็นแสงเรืองสีเขียวโตเท่าศีรษะมนุษย์เป็นไฟปีศาจสองดวงถลาวูบลงจากยิดไม้สูงใกล้ลานหินที่พัก
ความรวดเร็วเกินกว่าจะคาดคิด เสียงตบถูกใบหน้าพวกมันดัง
.ฉาด..ฉาด
ติดต่อกันได้ยินถนัดหู
กิมเจ็งตอบโต้ลูกไฟทั้งสองดวงด้วยการสะบัดดาบโค้งเข้าจู่โจมปะทะ แต่ตัวเองก็ยังถูกตบใบหน้าถึงสองครั้ง
จนโลหิตไหลซึมจากมุมปาก อีกสี่คนล้มกลิ้งไปคนละทิศละทาง ทั้งที่พวกมันเป็นนักสู้มีฝีมือที่
"นายน้อย" คัดเลือกให้ร่วมเดินทางกับมัน
นับเป็นการถูกทำร้ายครั้งแรกในชีวิต ที่พวกเขาต้องตื่นตระหนกหวั่นหวาดจนขวัญระริกจริงๆ
เสียงแหบห้าวของบุรุษดังขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว
"ลูกเต่าบังอาจใช้อาวุธต่อต้านเรา เราจะไม่ปราณีชีวิตโสโครกของพวกเจ้าแล้ว"
เสียงเยือกเย็นของสตรีประสานรับ
"ใช่แล้ว มันขัดขวางมือเท้าของเรา
ฆ่า"
สิ้นเสียงอันชวนขนลุก ไฟปีศาจสองดวงปรากฏวาบใกล้พวกมัน พลังแรงลมประหนึ่งมรสุมคลั่งกระหน่ำใส่พวกมันคล้ายม่านเงาของฝ่ามือ
เกินสุดที่จะต่อต้านได้
กิมเจ็งสะบัดดาบร่ายรำคุ้มครองร่าง ขณะได้ยินเสียงพวกมันกระดูกหักห่าโลหิตสาดกระจาย
กิมเจ็งถูกพลังชนิดหนึ่งกระแทกหน้าอก ปลิวคว้างลงลำธารน้ำตกซึ่งไหลเป็นลำห้วยยาวเลาะเลี้ยวลงจากภูเขาสู่ทุ่งหญ้าเบื้องล่าง
นักสู้สี่คนที่ร่วมเดินทางมาต่างทอดร่างเสียชีวิต อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาเท่านั้น
กิมเจ็งกระอักโลหิตในน้ำ มันทราบดีว่า ไม่มีทางจะต่อสู้กับสิ่งลึกลับนั้น
มันดำลงใต้ท้องธาร ว่ายลัดเลาะไปตามริมฝั่งมุ่งลงจากภูเขา เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองให้รอด
เฒ่าอิ่มวิ่งเตลิดหนี ตั้งแต่เห็นไฟปีศาจครั้งแรกแล้ว
คืนเดียวกันนั้น
บนทางน้อยที่มุ่งเข้าสู่หมู่บ้านหลุบไผ่
อาชาสีขาวปรอดบรรทุกนายของมัน คือชายหนุ่มฉกรรจ์ สวมเสื้อผ้าสีครามด้ามดาบสีแดง
พู่ผูกด้ามดาบก็สีแดง กำลังเหยาะย่างอย่างเชื่องช้า คล้ายทราบว่านายของมันกำลังสุขารมณ์
ท่ามกลางสายลมดึก ดวงดาวที่เกลื่อนฟ้า
ผาธง ดาบแดงแห่งเมืองสูง ดื่มด่ำกับความเงียบรอบด้าน นานทีจะได้ยินเสียงนกร้อง
เสียงเห่าหอนของสุนัขจิ้งจอก
กลิ่นดอกหญ้าโชยหอมมาอ่อนๆ
แต่ถ้าเป็นยี่สิบเจ็ดปีก่อน ผาธงคงมิได้มีโอกาสสูดกลิ่นหอมอันน่าชื่นใจนี้
เพราะทั่วท้องทุ่งอันไพศาลของทุ่งกาหลงเต้มไปด้วยซากศพ
ศพของทหารฮั่น ซึ่งประมาณกันว่าเสียชีวิตแสนกว่าคน
ผู้เฒ่าละแวกทุ่ง เล่าให้ผาธงฟังว่า อีแร้งบินมาจากทุกสาระทิศเพื่อกอนซากศพคนตาย
จนสามเดือนให้หลังก็ยังไม่หมด
ทุ่งกาหลงขาวโพลนด้วยกระดูกของมนุษย์ สืบต่อมาจนบัดนี้ ในบางคืนชาวบ้านยังได้เห็นไฟปีศาจลอยวูบวาบเต็มไปทั่วท้องทุ่ง
นั่นคือผลจากสงครามครั้งสุดท้ายของฮั่นกับไท ก่อนจะมีไมตรีต่อกัน
ซุกจงฮ่องเต้ ผู้นั่งบัลลังค์มังกร ณ นครเชี่ยงอัน โปรดให้เหว่ยจี้เป็นแม่ทัพใหญ่
เกณฑ์ไพล่พลจากมณฑลทหารในกังหนำ ได้สองแสนคน ยกเป็นกองทัพใหญ่หวังพิชิตน่านเจ้าให้ราบเรียบยอมสยบ
พ่อเจ้าหลวงผู้ครองนครหนองแส อันเป็นจอมทัพของชนเผ่าไทเมืองต่างๆของอาณาจักรน่านเจ้าเวลานั้น
คือพ่อขุนลอ (จีนเรียกโก๊ะล่อฝง) พร้อมด้วยเจ้าราชบุตรฟ้าเชียงอิน (ฟุ๊งเซียอี้)
รวบรวมชาวไทฉกรรจ์ทั้งปวงได้ไพล่พลแสนเศษกรีฑาทัพออกต่อสู้ พระองค์กำหนดเอาทุ่งกาหลงเป็นสมรภูมิ
ทัพไทล้อมทัพฮั่นไว้ทุกด้าน ตัดเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารทุกอย่าง ประกอบกับทัพฮั่นที่ยกมาครั้งนี้แม่ทัพนายกองต่างๆแตกสามัคคีกัน
เป็นกองทัพที่ขึงขังภายนอกแต่กลวงใน เมื่อทัพไทยกเข้าโจมตีพร้อมกันทุกด้าน
ทัพฮั่นจึงล่มสลายอย่างง่ายดาย
ขุนพลเหว่ยจี้สิ้นชีพในสนามรบ ทหารฮั่นทั้งปวงกระเซอะกระเซิงหนี เหลือรอดกลับไปแผ่นดินฮั่นมิถึงห้าร้อย
นอกนั้นบาดเจ็บล้มตายและถูกจับเป็นเชลย
นั่นคือชัยชนะอนเด็ดขาดของน่านเจ้า และเป็นความเสื่อมโทรมทางอำนาจของกษัตริย์ฮั่นราชวงศ์ถัง
จนต้องจำยอมสถาปนาสัมพันธภาพกับแผ่นดินน่านเจ้า
นับแต่นั้น ปราชาราษฎร์ทั้งสองอาณาจักร จึงได้เกษมศนติ์ยิ้มแย้มชื่นชมกับสันติสุขอันงดงามอย่างแท้จริง
ผาธงคิดถึงเรื่องราวสมัยยังเด็ก อดรู้สึกเลือดในกายพลุ่งพล่านมิได้ และเวลานี้
.กำลังเดินทางอยู่ในทุ่งกว้างอันเป็นสมรภูมิเมื่อครั้งกระโน้น
แต่ในก้นบึ้งแห่งหัวใจ รู้สึกสทกสะท้อนมิน้อย
ไฉนมนุษย์ จึงต้องซื้อสันติภาพด้วยราคาแพงปานนั้น
ทำไมต้องมีธารโลหิต หยาดน้ำตาแห่งทุกขเวทร่ำไป
ใครเล่า
จะตอบได้
ผาธงเดินทางมาถึงหมู่บ้านน้อยเชิงเขาอีแร้งเมื่อค่อนรุ่ง
และมีโอกาสได้ฟังเสียงพร่ำเพ้อเหมือนคนเสียสติของเฒ่าอิ่ม ที่บอกว่าบนภูเขามีปีศาจ
ปีศาจฆ่าคน
เป็นเรื่องราวที่ผาธงรู้สึกสนเท่ห์
และน่าสนใจดีแท้
อ้างอิง : จอมดาบน่านเจ้า ตอน กระบี่เดียวดาย แต่งโดย พ.ณ.เพงาย สนพ.
G&M 2521 |