|
เนื้อเรื่องย่อ
:
เกริ่นนำ
แผ่นดินตอนใต้ของจีน เป็นถิ่นที่อยู่ของชนเผ่าไท
บางสมัยก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน บางคราวก็เป็นอิสระ อารยะธรรมต่างๆ
ของชาวฮั่น จึงค่อยๆซึมเข้าสู่แผ่นดินของชาวไทเป็นลำดับ ตั้งแต่สมัยจูกัดเหลียงหรือขงเบ้ง
พิชิตอาณาจักรอ้ายลาวของไทแล้ว
.และสืบต่อมาอีกนับร้อยปี ย่านการค้าในชุมชนเมืองของชาวไท เริ่มมีตึกอิฐชั้นเดียวของชาวฮั่นผสมอยู่เป็นเพิงชั่วคราว
เรือนไม้คูหาเตี้ยของร้านค้าชาวไท มีโรงเตี๊ยมมีร้านอาหารที่ดำเนินกิจการโดยชาวฮั่น
เพื่อต้อนรับพ่อค้าวานิช และผู้เดินทางไปมาระหว่างสองอาณาจักร
ชาวฮั่นกับชาวไทไปมาหาสู่กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในต้นพุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ด้วยเวลายาวนานกว่า
400 ปี มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาณาจักรของชาวไท เปล่งอานุภาพสูงสุด ด้วยเดชะบุญญาแห่งพ่อหลวงผู้ครองนครท่าสี่หนอ
แส ดินแดนของชาวไท แผ่กว้างครอบครองพมม่ารามัญอานัมตังเกี๋ยทั้งหมด เป็นมหาอาณาจักรที่ชาวฮั่นต้องยอมรับผูกสัมพันธไมตรีด้วย
เจ้าหญิงชาวฮั่นหลายพระองค์ได้อภิเษกสมรสกับพ่อหลวงและลูกหลานชาวไท
นั่นคือ
ความกลมกลืนของประเพณีและวัฒนธรรม
จีนเรียกอาณาจักรชาวไทว่า หน่านเจียวหรือน่านเจ้า
มหาอาณาจักรของชาวไทที่แผ่อานุภาพแานนั้น ผูกมิตรกับจีน มีคามสัมพันธ์กับธิเบตในฐาณะเท่าเทียม
ไฉนจะอ่อนด้อยเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน
นั่นคือ
ยุคอันเรืองรองของชนเผ่าไทอีกยุคหนึ่ง ก่อนจะมาสร้างอาณาจักรในแหลมสุวรรณภูมิและก่อนที่น่านเจ้ากับแผ่นดินจีนของชาวฮั่น
จะถูกพิชิตโดยกองทัพมองโกล จากการนำของกุบไลข่านในปลายพุทธศตวรรษที่ 17
น่านเจ้า
จึงเป็นดินแดนที่นักสู้ผู้กล้าของชาวไทกำเนิดขึ้น
ดาบดงแห่งเมืองสูง
ยามสายที่แสงแดดอบอุ่นในฤดูเหมันต์
ยอดเขาสูงที่ไกลตายังมีหมอกลอยอ้อยอิ่ง
บุรุษวัยฉกรรจ์ร่างใหญ่แข็งแรง พิศดูคล้ายสูงโปร่ง ใบหน้ารูปเหลี่ยม คมสันหล่อเหลา
ประกอบด้วยจมูกโด่งเป็นสันเห็นเด่นชัด ประกายตานิ่งสงบเรียบเฉย เฉกผู้ไม่ยินดีต่อสิ่งใด
เขาใช้ผ้าแดงผืนเล็กคาดศีรษะ รัดตรงหน้าผากไปผูกปมไว้ที่เบื้องหลัง เพื่อป้องกันไม่ให้ผมยาวปะไหล่ของตน
ฟูกระจายเมื่อลมพัด
นับเป็นบุรุษองอาจสง่างามผู้หนึ่ง
ผิวสีทองแดง สะท้อนเป็นมันกับแสงตะวัน
ด้านหลังสะพายดาบที่ค่อนข้างพิเศษอยู่เล่มหนึ่ง
เป็นดาบยาวของชาวไท แต่ค่อนข้างเล็กเรียวกว่าดาบทั่วไป จนคล้ายกระบี่ของชาวฮั่น
ด้ามยังผูกพู่ไหมสีแดงเอาไว้
ฝักดาบก็เป็นสีแดง
ไม่ทราบว่าย้อมสี หรือทำจากไม้แดง
ฝักดาบสีแดง พู่ด้ามสีแดง ตัดกับเสื้อผ้าสีครามเข้มของเขาจนเด่นชัด
แต่อาชาที่เขาขี่ กลับเป็นสีขาวปรอดทั้งตัว
ชายหนุ่มขี่ม้าเหยาะย่างเช่นนี้ ตั้งแต่ออกจากเมืองน้อยด้านหลังแล้ว
อาจเป็นเพราะแดดอุ่นสบาย จึงทำให้เขามิคิด รีบเร่งเดินทาง เขาเป็นคนชอบแสวงหาสิ่งดีๆให้กับตัวเองเสมอ
ต้นข้าวในทุ่งนาอีกฟากหนึ่งของทาง ออกรวงเป็นสีทองอร่ามทั่วท้องทุ่ง มีชาวนาหลายคนก้มๆเงยๆอยู่กับงานเกี่ยวข้าวของตน
นกกระจอกสองตัวบินหยอกล้อผ่านหน้าเขาไป
พร้อมคนสองคน ก้าวออกจากหลังต้นไม้ข้างทางมายืนขวางหน้าม้า
ผู้มาใหม่เป็นชายชาวฮั่นวันหนุ่มน้อย กับ หญิงสาวชาวฮั่นที่เขพบในโรงเตี๊ยมของเมืองพร้อมขบวนเปาเปียวเมื่อเช้านี้
หนุ่มชาวฮั่นในชุดขาวสะอาด ในมือถือฝักกระบี่กำลังจ้องมองเขา หญิงสาวชาวฮั่นในชุดสีเขียว
รูปร่างงามอ้อนแอ้น มือถือกระบี่เช่นกัน แต่ดวงตาของนางมีขนตางอนยาว
เขายิ้มให้นาง
นางถลึงตาตอบ
เขาหัวร่อเบาๆ
"นึกไม่ถึง จะมีดรุณีน้อยมาคอยเบิ่งตาจ้องดูข้าแต่เช้า"
นางรับสะบัดหน้าไปด้านอื่นโดยเร็ว
เขาหยุดม้าเบื้องหน้าคนทั้งสอง ปกติประกายตาเรียบเฉย เหมือนหลวงจีนแก่ บัดนี้มีประกายแจ่มใสรื่นเริง
หนุ่มชาวฮั่นถามขึ้น
"ท่านคือผาธง ฉายาดาบแดงแห่งเมืองสูงใช่หรือไม่"
"ท่านดูจากอะไร"
"ม้าของท่าน ดาบของท่าน ผ้าคาดศีรษะท่าน"
"มีคนอีกมากนัก มีสามอย่างนี้"
หนุ่มน้อยชาวฮั่น สะบัดกระบี่ออกจากฝัก โผนทะยานขึ้นเหยียบหัวอาชาของเขา
ปลายกระบี่แทงใส่จุดชีวิตสิบสี่จุดในคราเดียว
ชายชุดสีครามเข้มโผขึ้นจากหลังม้าเหมือนปักษาตัวใหญ่ แล้วทิ้งรางลง กลับมานั่งบนอานอาชาเหมือนเดิม
ขณะหนุ่มชาวฮั่นก็กระโดดกลับไปยืนหยัดอยู่ที่เดิม
"ผู้ที่หลบสิบสี่ท่าปลิดวิญญาณของข้าได้นับว่าไม่เลว"
"เพลงกระบี่ที่ไม่เลว" ชายชุดคราวพูดพลางหัวร่อ "ท่านต้องการบีบบังคับข้าให้เป็นผาธงจริงๆ"
"หรือท่านจะปฏิเสธ"
"ข้ามิเคยเอ่ยสักคำ"
ชายชาวฮั่นประสานมือคารวะ
"เป็นบุญตาของข้า หลี่ทงเจียว กับ น้องสาวเง็กฮึง ที่มีโอกาสได้พบท่าน"
หญิงสาวชาวฮั่น ประสานมือคารวะเช่นกัน
ผาธงมิอาจนิ่งดูดาย ลงจากหลังอาชาคารวะตอบตามประเพณีชาวฮั่น
"ท่านต้องการพบข้าทำไม"
หลี่ทงเจียวกล่าวขึ้น
"ชาวยุทธจักรในแผ่นดินฮั่น ต่างเล่าขานกันว่าในดินแดนน่านเจ้านั้น มีดาบแดงอยู่เล่มหนึ่ง
เจ้าของนามผาธง ฝีมือเพลงดาบเป็นเลิศ ข้าเป็นผู้นำขบวนเปาเปียวคุ้มกันสินค้าจากเมืองเก็งจิว
จะไปส่งยังเมืองหอคำ มีพี่น้องร่วมเดินทางทั้งหมดสามสิบคน วันนี้ข้าได้พบท่านโดยบังเอิญ
จึงล่วงหน้ามารอท่านอยู่ที่นี่ นับเป็นโอกาสเหมาะ โปรดประทานการสั่งสอนให้ด้วย"
ผาธงถอนหายใจยาว
"ข้าไม่เข้าใจว่า มนุษย์ไฉนดิ้นรนทำในสิ่งตัวเองจะเจ็บปวด"
"เป็นโอกาสเดียวในชีวิตข้า จะได้รับการสั่งสอนจากท่าน"
"แต่ข้าไม่มีอารมณ์ เล่นสนุกกับท่าน"
ผาธงทะยานขึ้นหลังม้า ควบจากไป
หลี่ท่งเจียว ใช้วิชาตัวเบา ถลันวูบไปดักหน้าเขา
"ข้าจะทำให้ท่านมีอารมณ์ให้ได้" หนุ่มชาวฮั่นคำรามพลางชักกระบี่
แทงใส่จุดชีวิตของผาธงบนหลังม้า
เงาร่างสีครามพลิ้ววูบวาบหลบไปมาภายใต้คมกระบี่หลี่ท่งเจียวตวาดก้อง เพิ่มพลังลมปราณรุนแรง
ฉวัดเฉวียนเหมือนสายน้ำซัดสาดไม่ขาดตอน
ผาธงกระโดดลงจากหลังอาชา ไปยืนห่างออกไป เขหัวร่อให้ชายชาวฮั่น
"ข้าคิดว่าในโลกมีแต่สตรี จึงร่ำพิไร ไม่เลิกรา บัดนี้ไฉนมีบุรุษด้วยเล่า"
"เพราะท่านคือผาธง"
"อืมย์
การมีชื่อเสียง มักทำให้ตนทุกข์ยากเช่นนี้"
เพลงกระบี่เหมือนสายน้ำสาดซัดเข้ามาอีก
ผาธงใช้วิชาฝ่ามือ และหมัดเข้าต่อสู้ โดยมิยอมชักดาบ
"ท่านเป็นศิษย์คุนลุ้น" ผาธงเอ่ยถามอย่างสบายขณะหลบหลีก
"ท่านทราบได้อย่างไร"
"นี่คือสิบหกท่ากวาดฟ้าดินของเพลงกระบี่คุนลุ้น"
"นับว่าสายตาท่านไม่เลว"
ผาธงสอดฝ่ามือกระแทกหมัดไปที่ไหล่ขวาของหลี่ท่งเจียวอย่างแม่นยำ หนุ่มชาวฮั่นเซถลาออกไป
พลางอุทาน
"เมื่อครู่นี้ ท่านใช้หมัดปราบพยัคฆ์ของเสี่ยวลิ้มยี่"
"ใช่ อาจารย์ชาวฮั่นของข้าสอนให้"
หลี่ท่งเจียวสะบัดกระบี่ออกร่ายรำ บุกเข้าโจมตีอีกครั้ง ผาธงยังตั้งรับและตอบโต้ด้วยมือเปล่า
หนุ่มชาวฮั่นถูกหมัดกระเด็นออกไปอีก
"นี่ท่าอะไรของท่าน" หลี่ท่งเจียวสงสัย เพราะท่ามวยแปลกตาเหลือเกิน
"เรียกว่า อีกาแหวกรัง เป็นแม่ไม้มวยไท อาจารย์ชาวไทของข้าสอนให้"
"ท่านมีอาจารย์สองคน"
"มีเป็นร้อย ท่านก็อาจเป็นอาจารย์ข้าได้อีกคน"
"แล้วข้าล่ะ เป็นอาจารย์ของท่านได้หรือไม่" เสียงสดใสของสาวสวยชาวฮั่นสอดแทรกขึ้น
ผาธงทำตากรุ้มกริ่ม
"ข้ายินดีเป็นลูกศิษย์ที่ดีของท่าน"
ใบหน้าสวยบูดบึ้งทันที
"ข้าจะควักนัยน์ตาเจ้า"
สองพี่น้องร่วมกันประสานเพลงกระบี่ จนยากจะหาช่องโหว่ให้ผาธงหลบหลีกได้ ยิ่งนานผาธงยิ่งตกในห้วงอันตราย
แต่ไม่ยอมชักดาบ
ขณะนัน้มีเงาของอีกกระบี่ สอดแทรกระหว่างมรสุมกระบี่ของสองพี่น้อง เสียงโลหะกระทบกันดังเปรื่องปร่าง
เพลงกระบี่ที่คล้ายมรสุมสลายวับ
สตรีชุดขาวรูปร่างงดงามยิ่งนัก ใบหน้าคลุมคาดด้วยผ้าแถบสีดำปิดบังโฉม ยืนเด่นอยู่ใกล้ๆ
ในมือนางมีกระบี่ ท่าทีของนาง ชืดชาจนพิกลยิ่ง
"ข้าทนดุท่านหยอกล้อกับทารกคู่นี้ไม่ได้" สตรีชุดขาวผู้มาใหม่เอ่ย
"ข้าจึงเหวี่ยงกระบี่ไปสองสามที เพื่อจะได้มีวาสนาสนทนากันบ้าง"
"นางเป็นใคร" ผาธงถาม
สตรีชุดขาวสะบัดมือวูบ ผาธงยกมือขึ้นรับวัตถุที่ลอยมา
เป็นเบญจมาศสีเหลืองดอกหนึ่ง
ครานี้ ผาธงเขม้นมองนางดวงตาไม่กระพริบ
สตรีชุดขาวกล่าวเสียงเย็นเยียบ
"ดอกสีเหลืองที่เรืองรอง งามผ่องในทุกที่"
ผาธงหัวร่อน้อยๆ
"ข้าเป็นคนชอบความงามของทุกสิ่ง ยินดีที่ได้พบดอกไม้งาม แต่ยังไม่ทราบ
ท่านปักดอกไม้งามให้ข้าทำไม"
"ย่อมไม่ใช่ด้วยความสิเน่หา" นางกล่าวเย็นชา
"นางมาที่นี่ใยกัน"
"ข้ามาส่งข่าว"
"ข่าวอะไร"
"เอาข่าวแรกก่อน" นางพูดอ้อยอิ่ง "มีคนวานข้าให้มาบอกท่านว่า
แมวน้อยกำลังเมา"
ข่าวอะไรพิศดารปานนี้ ผาธงจ้องมองนางอย่างจริงจัง เหมือนจะให้ทะลุถึงใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั้น"
"ข้าหวังว่า แมวน้อยคงสุขสำราญยิ่ง จนกว่าข้าจะไปเยี่ยม"
"ท่านมีเวลาเพียงหนึ่งเดือน" นางพูดจริงจัง
"ข้าจะไปเยีย่มแมวน้อยได้ที่ไหน"
"ท่านไปถึงเมืองภูขาว จะมีคนมาติดต่อท่านเอ"
"ข่าวต่อไปล่ะ"
"สำหรับทารกชาวฮั่นทั้งสอง"
หลี่ท่งเจียวกับน้องสาวมีอาการตื่นเต้น
"ท่านมีอะไร" หนุ่มชาวฮั่นรีบถาม
"สินค้าที่เจ้าคุ้มกันมานั้น บัดนี้อยู่ในกำมือพวกเราแล้ว"
"เจ้า
เจ้า
" หลี่ท่งเจียวยกมือชี้ไปที่นาง แต่นางมิแยแส
"อีกเดือนครึ่งนับจากวันนี้ ให้เจ้านำเงินสามหมื่นตำลึงไปไถ่คืน โดยผู้ไถ่ถอนจะต้องเดินทางถึงเมืองภูขาววันขึ้นสิบค่ำเดือนสอง
จะมีผู้มาติดต่อเอง
โดยพวกเจ้า
ผูกธงเขียวอันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักคัมกันภัยของเจ้าเอาไว้ที่หน้าโรงเตี๊ยมที่พัก"
"แล้วบรรดาพี่น้องของข้าที่ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้เล่า"
สตรีชุดขาวถลึงตาอย่างขุ่นเคือง
"ไม่รู้จักไปดูด้วยตาเจ้าหรืออย่างไร ข้าไปละ"
นางถลันวูบเข้าทิวไม้ข้างทาง หายลับจนไร้ร่องรอย
ผาธงกล่าวขึ้นเบาๆ
"เป็นเพราะเจ้าชอบล้อเล่นข้านี่เอง เวลาเกิดเภทภัยเจ้าทั้งสองจึงมิอาจอยู่ช่วยเหลือพี่น้องของพวกเจ้าได้"
"นางเป็นใคร" หลี่ท่งเจียวถาม
"เทวฑูตเบญมาศ"
สองพี่น้องมีอาการตระหนกจนเห็นได้ชัด เพราะชื่อเสียงของขบวนการเบญจมาศ ชาวยุทธจักรฮั่นทุกมณฑลในภาคใต้ของจีนมีอาณาเขตติดต่อกับแผ่นดินน่านเจ้าต่างทราบกันดี
เป็นขบวนการมิจฉาชีพที่ไปมาไร้ร่องรอย ยากจะสืบเสาะว่ามีขุมกำลังมากน้อยเพียงไร
ใครเป็นประมุข และตั้งอยู่ที่ใด การลงมือปฏิบัติงานทุกครั้งค่อนข้างอำมหิต
สองพี่น้องมีสีหน้าประหนึ่งจะร่ำไห้ รีบใช้วิชาตัวเบาโลดลิ่วกลับไปยังตัวเมือง
พลางร่ำร้องไปตลอดทาง
"พี่น้องของข้าเล่า พี่น้องของข้าเล่า"
ผาธงดาบแดงแห่งเมืองสูง ส่ายหน้าอย่างเวทนา
"เด็กเอย
เจ้าโตแต่เพียงร่างเท่านั้น"
เขากระโดดขึ้นหลังอาชา ควบขับไปอย่างรวดเร็ว
สำนักคุ้มกันภัยธงเขียวแห่งเมืองเก็งจิว คุ้มครองสินค้าสำคัญรายหนึ่ง นำส่งยังผู้รับซึ่งเปาเปียวบริวารในขบวนไม่ทราบว่าเป็นใคร
จะมีทราบเพียงสามคนเท่านั้น คือหลี่ท่งเจียวกับน้องสาวและดาบอุดรไต้เพ็ง
ผู้เป็นบริวารเก่าแก่ของลิชง ฉายากระบี่พิฆาตเจ็ดดาบ บิดาของหลี่ท่งเจียว
ซึ่งมิได้ร่วมขบวนมาด้วย เพราะเกิดเจ็บป่วยกระทันหันก่อนเดินทางไม่กี่วัน
กระนั้นหลี่ลิชงเจ้าสำนักคุ้มกันภัยธงเขียว มิได้ประมาท ได้ว่าจ้างมือดีอีกห้าคนร่วมเดินทางมาครั้งนี้ด้วย
สินค้าเป็นเพียงกล่องไม้ยาวประมาณเชี๊ยะครึ่ง ค่อนข้างเบา ปิดกุญแจแน่นหนากล่องหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดทราบ อะไรบรรจุอยู่ข้างใน
ห่างเมืองน้อยไม่ไกลนัก ขบวนเปาเปียวจากเมืองเก็งจิว นอนตายระเกะระกะอยู่กลางทาง
ทั้งสามสิบชีวิตไม่มีใครรอด
เหลือเพียงม้าของพวกมัน ที่ยืนเฝ้าเจ้าของอย่างเงียบงัน
หลี่ท่งเจียวกับน้องสาว ร่ำไห้อยู่ตรงนั้น
อ้างอิง : จอมดาบน่านเจ้า ตอน พนันรัก แต่งโดย
พ.ณ.เพงาย สนพ. G&M 2521 |