สะท้านแปดทิศ

บันดาลสาส์น 2514 (เล็ก)
บันดาลสาส์น 2516

ผู้แต่ง : อ้อเล้งเซ็ง ผู้แปล : น. นพรัตน์
จำนวนเล่มจบ : 24 เล่มจบ (เล่มเล็ก) - บันดาลสาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2514
จำนวนเล่มจบ : 6 เล่มจบ - บันดาลสาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2516
ข้อมูลเพิ่มเติม : เรื่องเดียวกับ "มังกรกอบกู้ภัย"

เนื้อเรื่องย่อ :

บทที่ 1
มหาภัยก่อหวอด

เซียงเอี้ยง เป็นเมืองสำคัญของมณฑลโอ้วปัก อยู่ริมแม่น้ำฮั่นจุ้ย ไม่เพียงเป็นเมืองยุทธศาสตร์สมัยโบราณ ทั้งยังเป็นเมืองท่าสำคัญของมณฑลโอ้วปัก ฮ่อหนำ ชุมนุมพ่อค้าวานิช ตัวเมืองก็เจริญรุ่งเรือง
เทือกเขาล่งตงซัวทางตะวันตกเฉียงใต้ของตัวเมือง เป็นสถานที่ทำไร่ไถนาของขงเบ้ง ก่อนที่เล่าปี่จะเชื้อเชิญไปร่วมราชการแผ่นดิน ในเทือกเขามีร่องรอยหลงเหลือ ดึงดูดผู้คนมาท่องเที่ยวคับคั่ง
นอกเมืองเซียงเอี้ยงด้านทิศใต้ ก่อสร้างตึกใหญ่ตระหง่านง้ำ หน้าประตูลงรักสีแดง ปูบันไดหินอ่อนเจ็ดขั้น สองฟากข้างประตูจัดตั้งสิงโตหินสีเขียวมรกตข้างละตัว เหนือป้ายขวางจารึกอักษรทองว่า
"ตงหงีเฮียบฮู้ (คฤหาสน์ผดุงธรรม)"
ด้านล่าง กลับเป็นพระราชหัตถเลขาของกษัตริย์เฮี่ยงจงราชวงศ์เหม็ง ทรงพระอักษรในปีที่สิบสองแห่งการขึ้นครองราชย์
นี่เป็นป้ายทองพระราชทาน ในยุคสมัยนั้น นับเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้
ข้าราชการเมืองเซียงเอี้ยง เมื่อบรรลุถึงที่นี้ข้าราชการบุ๋นลงจากเกี้ยว ข้าราชการบู๊ลงจากหลังม้า แสดงความเคารพต่อป้ายทองพระราชทาน
วันนี้ พระอาทิตย์กระจ่างเจิดจ้า ลมโชยเฉื่อยฉิว ประตูที่ปิดสนิทของคฤหาสน์ธรรมทั้งสองบาน พลันเปิดออก ชายกลางคนหน้าแดงระเรื่อ ไว้เคราห้าแฉก สวมชุดยาวสีเขียว อายุสี่สิบเศษผู้หนึ่งเดินช้าๆออกมา
ด้านหลังชายกลางคนชุดเขียว ตามติดด้วยบุรุษหนุ่มชุดรัดกุมจำนวนสี่คน ทั้งสี่มีอายุไล่เลี่ยกัน ประมาณยี่สิบเอ็ดยี่สิบสอง เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ตามติดอยู่ด้านหลัง
ชายกลางคนชุดเขียว พอก้าวลงบันไดหินอ่อนประตูข้างก็เปิดออก ชายกลางคนร่างสันทัดผู้หนึ่ง จูงม้าพ่วงพีสองตัวลงมารอคอยที่เชิงบันได
ชายกลางคนชุดเขียวชะงักเท้า เหลียวมองบุรุษหนุ่มทั้งสี่แว่บหนึ่ง กล่าวว่า
"ต้นไม้ใหญ่ต้านลมแรง มีชื่อเสียงเป็นที่ริษยา ครึ่งปีมานี้ เราเผชิญการรังควานจากชนชาวบู๊ลิ้ม ยืนยันคำพังเพงประโยคนี้ คราครั้งนี้ซือแป๋ไปพบพานสหายอย่างเร็วครึ่งเดือน อย่างช้าหนึ่งเดือนจะกลับมา พวกเจ้าได้รับการถ่ายทอดเพลงดาบจากเราจนหมดสิ้น ให้ดูแลบ้านช่องให้ดี หากมีชาวบู๊ลิ้มมารังควานหาเรื่อง เรียกพวกมันหนึ่งเดือนให้หลังค่อยรุดมา"
บุรุษหนุ่มทั้งสี่น้อมกายรับคำโดยพร้อมเพรียง
"ศิษย์น้อมรับคำสั่ง"
ชายกลางคนชุดเขียวกล่าวกับชายร่างสันทัดว่า
"จิวฮก พวกเราไป"
ก้าวขึ้นบนหลังม้า กระตุ้นบังเหียนควบม้านำหน้า
จิวฮกเหลียวหน้ามาประสานมือต่อบุรุษหนุ่มทั้งสี่ พลิกกายขึ้นบนหลังม้า ติดตามจูยิ้น (นาย) ไป
สายตาแปดข้างของบุรุษหนุ่มทั้งสี่ มองตามเงาของม้าทั้งสองตัว จวบจนคนม้าล้วนสาบสูญ ในละอองสร่างซ่า ค่อยล่าถอยกลับคฤหาสน์
ทั้งสี่ล่าถอยกลับเข้าไปไม่นานนัก ในกระท่อมมุงจากด้านตรงข้าม กับคฤหาสน์ผดุงธรรมห่างประมาณห้าวา ประตูไม้พลันเปิดออก ชายกลางคนผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อกางเกงสมถะผู้หนึ่ง สาวเท้าเข้ามา
ชายกลางคนผมเผ้ายุ่งเหยิง กวาดมองรอบข้างตลบหนึ่ง ค่อยเดินก้มศีรษะไปเบื้องหน้า
ซอกแขนซ้ายมันหนีบเลื่อยเหล็กอันหนึ่ง มือซ้ายถือไม้บรรทัด มองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นคนงานช่างไม้
มันพอเดินผ่านซุ้มประตูคฤหาสน์ผดุงธรรม จงใจผ่อนฝีเท้า ขยับไม้บรรทัดในมือ ปากพึมพำเบาๆ
"สามสามเป็นหก สามเจ็ดสองวาหนึ่ง…"
พอผ่านซุ้มประตู พลันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น วกกายไปยังทิศตะวันตก
ทันใด เสียงแค่นหัวร่อกระสบโสต ได้ยินสุ้มเสียงแผ่วทุ้มเสียงหนึ่งดังว่า
"สหาย ท่านขวัญกล้ามิน้อย คฤหาสน์ผดุงธรรมชุมนุมยอดฝีมือ อาศัยตี่ซื่อมึ้ง (สำนักมุสิกดิน) ท่านก็กล้าลูบหนวดเสือหรือ ?"
คนผมเผ้ายุ่งเหยิงสะท้านใจอย่างรุนแรง ผู้มาไม่เพียงเปิดโปงแผนการของมัน พอเอ่ยปากก็สามารถระบุความเป็นมาของมัน
แต่มันคลุกคลีในวงนักเลงมานาน ในใจแม้ตื่นตระหนก ฝีเท้าไม่หยุดชะงัก ก้าวยาวๆไปเบื้องหน้า ไม่แยแสสนใจวาจาทางด้านหลัง
ได้ยินเสียงชายเสื้อปะทะลมดังขึ้น เงาร่างสายหนึ่งพุ่งเฉียดผ่านข้างกายไปอย่างรวดเร็ว บดบังขวางทางไว้
คนผมเผ้ายุ่งเหยิงอดเงยหน้าขึ้นมิได้ รู้สึกมีประกายเย็นยะเยียบสายหนึ่ง พุ่งวาบมายังส่วนแก้ม สร้างความแตกตื่นจนถอยปราดไป
แต่คนขวางทางมีปฏิกิริยารวดเร็วกว่า มือขวายื่นปราดออก ร่างถลันตามติดมาดุจเงาตามตัว ปลายมีดเย็นเฉียบจ่อจี้กับจุดสำคัญที่กระดูกสันหลัง !
คนผมเผ้ายุ่งเหยิงทราบว่าพบพานยอดฝีมือแล้วพาลไม่หลบเลี่ยงอีก สำรวจมองผู้มาตลบหนึ่ง
เห็นเบื้องหน้ายืนหยัดด้วยชายกลางคนชุดดำหน้าซีดขาว สองแก้มซูบเรียว ดูไปคล้ายนักศึกษายากไร้ หากไม่ใช่ประสบเหตุด้วยตนเอง ไม่เชื่อว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ ลงมือรวดเร็วดุจสายฟ้า
อาวุธในมือคนชุดดำไม่ใช่กระบี่ยาว หากแต่เป็นมีดสั้นยาวไม่ถึงหนึ่งเชี๊ยะ
คนผมเผ้ายุ่งเหยิงปลุกปลอบกำลังขวัญกล่าวว่า
"สหาย ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่าน ไม่มีอริบาดหมางกัน…."
คนชุดดำสอดคำขึ้น
"ดังนั้นเราจึงยั้งมือไว้เป็นไมตรี ไม่ได้ฆ่าท่าน"
หยุดเล็กน้อยจึงเอ่ยสืบต่อ
"คอยฟังวาจาของเรา เราต้องการให้ท่านตอบคำถามตามความสัตย์ หากโป้ปดคำเดียว เราจะฆ่าท่าน"
สุ้มเสียงมันราบเรียบ แต่สองตาทอประกายเย็นยะเยียบ แสดงว่าเป็นคนลั่นปากต้องปฏิบัติตาม
คนผมเผ้ายุ่งเหยิงทราบว่า ตนเองตกอยู่ในห้วงความเป็นความตาย ฝืนยิ้มกล่าวว่า
"คนอยู่ใต้ชายคา ไหนเลยไม่ก้มหัวให้ ท่านต้องการถามอันใด ?"
"ท่านคิดลักขโมยข้าวของในคฤหาสน์ผดุงธรรม คงเป็นชนชั้นยอดฝีมือในสำนักมุสิกดิน มิทราบมีคำเรียกหาว่ากระไร ?"
"ผู้น้องเจี๊ยะกวงเก่ง"
คนชุดดำพลันรั้งมีดสั้นกลับ ยิ้มพลางกล่าวว่า
"ที่แท้ เป็นยอดฝีมืออันดับสองในสำนักมุสิกดิน ฉายาฮุงเมี่ยวปุกขา (ไม่ผิดเพี้ยนแม้หุนเดียว) เสียคารวะมากแล้ว
"กล่าวประเสริฐ สหายแซ่ไร ?"
"เจี๊ยะเฮีย อย่าลืมว่าเป็นเรากำลังถามท่าน"
เจี๊ยะกวงเก่งรู้สึกคนผู้นี้ นิสัยประหลาดพิกล บัดเดี๋ยวยิ้มแย้มแจ่มใส บัดเดี๋ยวเย็นชายะเยียบ มิทราบสมควรกล่าวกระไรดี
คนชุดดำพลันกล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮีย เรามีเรื่องคิดหารือกับท่าน พวกเราหาสถานที่สนทนากัน"
พลางตวัดเท้าขวา เขี่ยหินโตเท่ากำปั้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง วางลงบนใจกลางฝ่ามือซ้าย ประกบฝ่ามือขวาลงไปเบาๆ หินในมือก็ถูกบดเป็นผง ปลิวกระจายลงบนพื้น !
เจี๊ยะกวงเก่งแตกตื่นตระหนกยิ่ง อันวิชาเจี๊ยะเซ่งฮุ้ง (บดศิลาเป็นผุยผง) นับเป็นสุดยอดของฝีมือ สามารถปลิดชีวิตมันโดยง่ายดาย ดังนั้นกระแอมเบาๆ กล่าวว่า
"ผู้น้องยินดีปฏิบัติตามคำสั่ง"
"อือม์ เจี้ยะเฮียเป็นคนทราบสถานการณ์ยิ่ง"
ยื่นมือคร่ากุมข้อมือซ้ายเจี๊ยะกวงเก่ง ก้าวยาว ๆ ไปเบื้องหน้า
คนชุดดำไม่เดินตามทางหลวง จูงเจี๊ยะกวงเก่งตัดผ่านไร่แป้งสาลี มาถึงสุสานร้างที่อยู่ท่ามกลางต้นแป๊ะโบราณหลังหนึ่ง คลายมือกล่าวว่า
"ที่นี้เงียบสงบยิ่ง เพียงแต่รกร้างเปล่าเปลี่ยวไปบ้าง"
เจี๊ยะกวงเก่งเห็นต้นแป๊ะบดบังอาทิตย์ หลุมฝังศพระเกะระกะ บรรยากาศเยือกเย็นยะเยียบ จึงกล่าว
"ที่นี้รกร้างเปล่าเปลี่ยวจริง"
"เท่าที่เราทราบมา สำนักมุสิกดินท่านแตกฉานวิชาลักขโมย ไม่เพียงขโมยคนเป็น กระทั่งคนตายยังขโมย ถึงกับก่อตั้งเป็นค่ายสำนักหนึ่งในวงนักเลง เจี๊ยะเฮียคงไม่กลัวภูติผีแล้ว
"ผู้น้องไม่กลัวภูติผีจริง เพียงแต่กลัวคน"
"เจี๊ยะเฮียกล่าวถูกต้อง คนยังน่ากลัวกว่าภูติผี อย่างน้อยคนสามารถทำให้ผู้คนอีกคนหนึ่งกลับกลายเป็นภูติผี !"
ไม่ผิดเพี้ยนแม้หุนเดียว เจี๊ยะกวงเก่งแม้เป็นนักเลงเก่าอันโชกโชน แต่ก็หยั่งคำนวณจิตเจตนาคนชุดดำไม่ออก เพียงทราบว่าพลังฝีมอตนเองเป็นรองฝ่ายตรงข้ามมากนัก จึงพยายามสงบปากคำ
คนชุดดำกล่าวอีกว่า
"เจี๊ยะเฮียคราครั้งนี้ตระเตรียมขโมยของใดในคฤหาสน์ผดุงธรรม ?"
"ผู้น้องตระเตรียมลักขโมยม้วนเหล็กและดาบวิเศษซึ่งทรงพระราชทานแก่ตงหงีเฮียบ (ผู้กล้าผดุงธรรม) ตั้งเต๋าล้ง"
คนชุดดำส่งเสียงดังอ้อกล่าวว่า
"ดาบพระราชทานเล่มนั้น เป็นดาบวิเศษของวงนักเลง ขนานนามลักฮะ (หกบรรจบ) ฟังว่าหลอมจากโลหะหกชนิด หากมีลางเภทภัยจะหลุดจากฝัก พบแสงเงาเกิดมายา ฟันเหล็กดุจฟันหยวก เคยก่อเกิดเป็นมรสุมช่วงชิงนองเลือดในวงนักเลง ภายหลังถูกยอดฝีมือวังหลวงได้ไป เก็บรักษาในพระราชวัง
ดาบเล่มนี้เร้นหายจากวงนักเลงหลายสิบปี ครั้งกระโน้นผู้กล้าผดุงธรรมตั้งเต๋าล้ง สอดมือเข้าพิทักษ์พระองค์ พระองค์กลับพระราชทานดาบหกบรรจบแก่มัน เพราะเหตุนี้ดาบแห่งเภทภัยพิบัติเล่มนี้ จึงปรากฏขึ้นในวงนักเลงอีกครา"
มันเพ่งตาถามว่า
"คนในสำนักมุสิกดิน เกรงว่าไม่มีคนคู่ควรกับการใช้ดาบวิเศษเล่มนี้ มิทราบคิดขโมยไปไย ?"
เจี๊ยะกวงเก่งถูกจับจ้องมอง จนบังเกิดความหนาวเย็นแผ่ซ่านจากกลางหลัง ไม่แต่กล่าวตามความสัตย์
"มีคนทุ่มเทเงินทองมหาศาล ให้สำนักเราขโมยดาบวิเศษ และม้วนเหล็กอภัยโทษที่ทรงพระราชทานแก่ตั้งเต๋าล้ง"
"เป็นผู้ใดว่าจ้างสำนักท่าน ?"
"เป็นชายกลางคนอายุสี่สิบเศษสองคน ความเป็นมามิทราบชัด"
"พวกมันจ่ายราคาอย่างไร ?"
"หากได้ดาบวิชา จ่ายสามหมื่นตำลึง หากได้ม้วนเหล็กจ่ายให้สองหมื่นตำลึง"
คนชุดดำกล่าวว่า
"ราคานี้ไม่นับว่าสูงนัก"
พลางล้วงถุงสีขาวจากอกเสื้อใบหนึ่ง ยื่นส่งให้พลางกล่าว
"เจี๊ยะเฮียลองเปิดออกดู"
เจี๊ยะกวงเก่งยื่นมือสั่นระริก รับถุงสีขาวมา ลังเลเล็กน้อยจึงเปิดปากถุง เทลงบนพื้น พลันกระจ่างวูบที่เบื้องหน้าสายตา เห็นเป็นไขมุกโตเท่าตาแมวสี่ลูก และตั๋วแลกเงินมูลค่าห้าหมื่นตำลึงฉบับหนึ่ง !
คนชุดดำกล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮียลองประเมินว่า ไข่มุกทั้งสี่ลูกมีราคาเท่าใด ?"
เจี๊ยะกวงเก่งหยิบฉวยไข่มุก วางบนใจกลางฝ่ามือ ชมดูชั่วขณะ จึงกล่าว
"ไข่มุกทั้งสี่ลูกล้วนล้ำค่า แต่ละลูกมีราคาหนึ่งหมื่นตำลึงขึ้นไป"
"สายตาอันประเสริฐ ไข่มุกทั้งสี่ลูกบวกกับตั๋วแลกเงินห้าหมื่นตำลึง มีราคาสูงกว่าคนว่าจ้างนั้นเท่าตัว มิทราบท่านยอมรับการค้าของเราหรือไม่ ?"
เจี๊ยะกวงเก่งงงงันวูบจึงกล่าว
"ท่านก็ต้องการดาบวิเศษและม้วนเหล็กของผู้กล้าผดุงธรรมหรือ ?"
"ดาบวิเศษหกบรรจบแม้เป็นของล้ำค่า แต่ก็เป็นของตายเราจ่ายเงินสิบหมื่นตำลึง เพราะต้องการซื้อของวิเศษเป็นๆสิ่งหนึ่ง"
"ของวิเศษเป็นๆ เยี่ยงไร ?"
"เป็นตั้งกงจื้อ (บุตรชายผู้แซ่ตั้ง)"
เจี๊ยะกวงเก่งงงงันอีกครา กล่าวว่า
"ท่านหมายถึงบุตรชายของผู้กล้าผดุงธรรมตั้งเต๋าล้ง ?"
"มิผิด ตั้งเต๋าล้งมีบุตรชายเพียงคนเดียว ปีนี้อายุไม่ถึงสิบขวบ ต่อให้ฝึกปรือวิชาฝีมือ ยังไม่มีความสำเร็จอันใด ความสามารถในการลักขโมยของสำนักมุสิกดินท่าน เป็นเอกในแผ่นดิน คงไม่เคยขโมยคนกระมัง ?"
"ผู้น้องเคยขโมยเงินทอง อัญมณี สตรี แต่การขโมยทารกผู้อื่น ละเมิดหลักธรรมของฟ้า"
คนชุดดำยิ้มพลางกล่าวว่า
"เราไม่ทำร้ายตั้งกงจื้อ เจี๊ยะเฮียเพียงขโมยมันออกมาให้เราชม จากนั้นส่งมันกลับไป"
"เพียงต้องการดูหน้าทารกชายแว่บเดียว ถึงกับยินยอมจ่ายเงินสิบหมื่นตำลึง คงเป็นชนชั้นเจ้าสำนักหรือประมุขพรรคใดกระมัง ?"
คนชุดดำไม่ตอบคำ กล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮียยอมรับการค้ารายนี้หรือไม่ ?"
เจี๊ยะกวงเก่งฝืนยิ้มกล่าวว่า
"ผู้น้องหากไม่ยอมรับ สุสานแถบนี้คงเพิ่มหลุมฝังศพขึ้นอีกหลุมหนึ่ง"
"เจี๊ยะเฮียชาญฉลาดยิ่ง"
หยุดเล็กน้อยจึงถามว่า
"ท่านตระเตรียมลงมือเมื่อใด ?"
เจี๊ยะกวงเก่งกล่าวว่า
"อย่างเร็วต้องคืนพรุ่งนี้"
"ประเสริฐมาก ยามสี่คืนพรุ่งนี้ เราจะน้อมรอในที่นี้ ไข่มุกทั้งสี่ลูกจะนำกลับไปก่อน ส่วนตั๋วแลกเงินห้าหมื่นตำลึง ให้เจี๊ยะเฮียไปขึ้นเงินที่ร้านแลกเงินก่อน"
"ท่านไม่กลัวผู้น้องฮุบเงินทองหลบหนีไปหรือ ?"
"เรามั่นใจว่าท่านไม่หลบหนี"
มันพลันยื่นมือขวา บีบเค้นกรามของเจี๊ยะกวงเก่ง เจี๊ยะกวงเก่งต้องอ้าปากอย่างลืมตัว คนชุดดำยกมือซ้ายหย่อนยาเม็ดหนึ่งเข้าปากเจี๊ยะกวงเก่งไป !
อากัปกิริยาลงมือ หย่อนยารวดเร็วฉับไว กระทำสำเร็จในพริบตาเดียว
เจี๊ยะกวงเก่งระบายลมหายใจยาวๆ กล่าวว่า
"ท่านให้ผู้น้องกลืนกินของใด ?"
"เป็นพิษพิสดารชนิดหนึ่ง สามวันให้หลังค่อยกำเริบ หากแม้นเจี๊ยะเฮียทรยศต่อเรา ยามเที่ยงวันที่สาม พิษร้ายจะกำเริบเสียชีวิต"
"คิดไม่ถึงท่านสุขุมรอบคอบนัก"
คนชุดดำซุกเก็บไข่มุกทั้งสี่ลูก กำชับว่า
"เจี๊ยะเฮียจดจำไว้ ยามสี่ของคืนพรุ่งนี้ เราจะน้อมรอในที่นี้"
กล่าวจบ หันกายก้าวยาวๆไป
เจี๊ยะกวงเก่งมองตามเงาหลังคนชุดดำอย่างตะลึงลาน จวบจนหายสาบสูญจากคลองจักษุ ค่อยหยิบฉวยตั๋วแลกเงินจากไป
วันที่สอง ไม่ถึงยามสี่ (สองนาฬิกา) ไม่ผิดเพี้ยน แม้หุนเดียว เจี๊ยะกวงเก่งเร่งรุดมาตามนัด
มันมิทราบชื่อแซ่ความเป็นมาของคนชุดดำ ไม่อาจสันนิษฐานว่า ฝ่ายตรงข้ามจะรุดมาจริงหรือไม่ มันเมื่อกลืนกินยาพิษเม็ดหนึ่ง หากแม้นฝ่ายตรงข้ามผิดนัดไม่รุดมา มันมีแต่หนทางดายสายเดียว
เจี๊ยะกวงเก่งเพิ่งชะงักเท้า ข้างหุบังเกิดสุ่มเสียงคนชุดดำดังว่า
"เจี๊ยะเฮียรักษาสัจจะยิ่ง"
เจี๊ยะกวงเก่งเหลียวหน้ามอง พบว่าคนชุดดำมิทราบยืนหยัดอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อใด มันงงงันวูบจึงกล่าว
"ท่านมานานแล้วหรือ ?"
"เพิ่มมาถึง เจี๊ยะเฮียขึ้นเงินห้าตำลึงแล้วหรือไม่?"
เจี๊ยะกวงเก่งผงกศรีษะพลางกล่าว
"ผู้น้องนำตั้งกงจื้อมาตามนัดแล้ว
"คนชุดดำก้มศรีษะลงมอง เห็นในวงแขนเจี๊ยะกวงเก่งโอบอุ้มทารกชายผู้หนึ่ง
ทารกชายหน้าตาเปล่งปลั่งดุจผลแอปเปิ้ล สองตาพริ้มสนิท สวมใส่ชุดนอนสีขาว คาดว่าถูกเจี๊ยะกวงเก่งโอบอุ้มจากเตียงมา
คนชุดดำล้วงไข่มุกทั้งสี่ลูกออกจากอกเสื้อ กล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮียรับไข่มุกสี่ลูกไปก่อน"
ผู้น้องมุ่งหวังว่าได้ยาขจัดพิษแต่เนิ่นๆ"
"ฮา ฮา ท่านทราบไอย่างไรว่า เราแพร่พิษต่อท่าน?"
เจี๊ยะกวงเก่งงงงันวูบจึงกล่าว
"ท่านว่าอะไร ?"
"เราให้เจี๊ยะเฮีย กลืนกินตัวยาบำรุงประสาทต่างหาก ท่านลองครุ่นคิดดูวา หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ คงคึกคักแจ่มใสยิ่ง"
"อื้อม์ นับแต่แยกทางกับท่าน ผู้น้องไม่ได้พักผ่อนแม้ชั่วครู่ชั่วยาม ยังมีสติแจ่มใส"
คนชุดดำกล่าวเสียงเย็นชา
"มอบทารกต่อเรา"
เจี๊ยะกวงเก่งยื่นมือรับไข่มุกทั้งสี่ลูกก่อน ค่อยส่งทารกชายต่อคนชุดดำ
คนชุดดำยิ้มพลางกล่าวว่า
"ท่านหากไม่เชื่อวาจาเรา ลองโคจรลมปราณตรวจดู หากแม้นถูกพิษแทรกซึม ย่อมตรวจพบอันใด"
เจี๊ยะกวงเก่ง จับจ้องมองทารกชายในวงแขนคนชุดดำ กล่าวว่า
"ท่านรับปากว่าจะไม่ทำร้ายตั้งกงจื้อ"
"เราเพียงต้องการชมดูมัน จากนั้นคืนทารกต่อเจี๊ยะเฮีย รบกวนท่านส่งคืนต่อคฤหาสน์ผดุงธรรม"
เจี๊ยะกวงเก่งค่อยคลายใจลง พริ้มตาโคจรลมตรวจดู
คนชุดดำคล้ายรักเอ็นดูทารกชายยิ่ง ลูบคลำตามร่างกายทารกชายไม่หยุดยั้ง
เจี๊ยะกวงเก่งโคจรลมปราณตลบหนึ่ง พบว่าไม่ได้ถูกพิษจริงๆ จึงลืมตาขึ้น
คนชุดดำมีโสตประสาทปราดเปรียว เจี๊ยะกวงเก่งพอลืมตามันพลันตื่นตัวขึ้น หอมแก้มทารกชายเบาๆกล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮีย ท่านดูเถอะ ต้งกงจื้อไม่ได้รับอันตรายใดๆ"
เจี๊ยะกวงเก่งรับทารกชายมา เห็นตั้งกงจื้อหลับสนิท ลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่ได้รับอันตรายใด คล้ายยกภูเขาออกจากอกก็ปาน
คนชุดดำกล่าวอีกว่า
"เจี๊ยะเฮียสมควรกลับไปแล้ว หากแม้นคฤหาสน์ผดุงธรรมพบว่าทารกหายสาบสูญ เกรงว่าท่านยากมีชีวิตรอดออกจากคฤหาสน์ได้"
เจี๊ยะกวงเก่งกระแอมเบาๆกล่าวว่า
"ผู้น้องมีปัญหาหลายประการ มิทราบเรียนถามได้หรือไม่ ?"
"ท่านถามเถอะ"
"ความสูงส่งของฝีมือท่าน ผู้น้องยังไม่เคยพบพานมา ท่านไฉนไม่ยอมเข้าคฤหาสน์ผดุงธรรมไปเอง กลับยินยอมจ่ายเงินสิบหมื่นตำลึง เพื่อดูหน้าตั้งกงจื้อเพียงแว่บเดียว ?"
คนชุดดำยิ้มพลางกล่าวว่า
"เนื่องเพราะคฤหาสน์ผดุงธรรมรักษาการณ์อย่างเข้มแข็ง เพียงแต่พวกมันระวังแต่บุคคลราตรีที่เหาะเหินเดินเวหา สำนักมุสิกดินท่านมีความสามารถในการเจาะกำแพงมุดพื้นดิน พวกมันย่อมไม่ทันระวังป้องกัน"
"แต่ผู้กล้าผดุงธรรมตั้งเต๋าล้งออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว"
คนชุดดำผงกศีรษะกล่าวว่า
"เราทราบ แต่ศิษย์ของมันทั้งสี่คน ได้รับถ่ายทอดวิชาฝีมือจากมันจนหมดสิ้น ล้วนมีเพลงดาบกล้าแข็ง เพียงแต่ประสพการณ์เป็นรองซือแป๋เท่านั้น"
หยุดเล็กน้อยจึงเอ่ยสืบต่อ
"ตั้งเต๋าล้งครั้งกระโน้นทราบโดยบังเอิญว่า มีคนปองร้ายองค์กษัตริย์ ทะยานเข้าคุ้มครองพระองค์ โค่นศัตรูเข้มแข็งพ่ายแพ้เก้าคน ตัวเองแม้ถูกฟันใส่สามกระบี่สองดาบ แต่นับว่าปกป้องพระองค์ ไม่ได้รับอันตรายแผ้วพาน ไหนเลยเป็นมือชั้นธรรมดา"
เจี๊ยะกวงเก่งเลียบเคียงถามว่า
"ท่านทราบความหลังเกี่ยวกับตั้งเต๋าล้งกระจ่างชัดปานนี้ ทั้งรักทั้งเอ็นดูตั้งกงจื้อ คงรู้จักกับตั้งไต้เฮียบมาก่อนกระมัง ?"
คนชุดดำแค่นหัวร่อกล่าวว่า
"เจี๊ยะเฮียถามมากความไปแล้ว ยังคงนำทารกกลับไปเถอะ หากชักช้าเกรงว่ายากออกจากคฤหาสน์ผดุงธรรมได้"
เจี๊ยะกวงเก่งไม่กล้าถามไถ่มากความ โอบอุ้มตั้งกงจื้อ หัวกายวิ่งตะบึงจากไป
คนชุดดำมือไพล่หลัง มองตามเงาหลังเจี๊ยะกวงเก่งจนลับตา มุมปากพลันปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นวูบ พุ่งปราดหายลับกับม่านวิกาล
สำนักมุสิกดินเป็นแหล่งซ่องสุมมิจฉาชีพ แตกฉานวิชาลักขโมย เจี๊ยะกวงเก่งยิ่งเป็นยอดฝีมือในสำนัก สามารถเจาะกำแพงขุดอุโมงค์ คำนวณตำแหน่งบ้านช่องห้องหับไม่ผิดพลาด จนได้ฉายาไม่ผิดเพี้ยนแม้หุนเดียว
คฤหาสน์ผดุงธรรมแม้มียอดฝีมือคับคั่ง แต่ไม่ทันระวังป้องกันกับยอดฝีมือสำนักมุสิกดินนี้ ไม่มีผู้ใดพบเห็นการเข้าออกของมัน


อ้างอิง : สะท้านแปดทิศ เล่ม 1 โดย น.นพรัตน์ สนพ.บันดาลสาส์น


       

 

 

หอสะสมตำรา
หอสะสมตำรา (น. นพรัตน์)