ที่ห้าของแผ่นดินพระเจ้าจุ๊ยเจ็งฮ่องเต้ องค์ไต้เหม็งโหงกงจื๊อขออนุญาตบิดามารดา
ออกท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้ตามท้องถิ่นบ้านเมืองต่างๆทั่วไป ขณะนั้นงุ่ยตงเทียนขันที่ผู้ทรยศถูกสำเร็จโทษแล้ว
แต่บ้านเมืองยังเดือดร้อนอยู่ทุกหย่อมหญ้า การเดินทางของผู้คนย่อมไม่ปลอดภัยด้วยมีโจรผู้ร้ายปล้นสะดมอยู่ชุกชุม
บิดามารดาของโหวกงจื๊อย่อมรู้อยู่แก่ใจ ก็ห้ามปรามแต่โหวกงจื๊อตั้งใจไว้แล้ว
จึงอ้างว่าลูกผู้ชายที่มีความจริงแล้ว ควรต้องอ่านหนังสือถึงหมื่นเล่ม และเดินทางไม่น้อยกว่าพันลี้
ได้พบเห็นสิ่งต่างๆเพื่อเป็นความรู้อันควรแก่ชีวิต บิดามารดาเสียอ้อนวอนและสุดจะขัดขืนจึงยินยอมให้โหวกงจื๊อแสวงหาความรู้
แต่กระนั้นก็หาไว้วางใจแลอดห่วงใยบุตรของตนเสียมิได้
อันนิสัยของโหวกงจื๊อนั้น เป็นคนโอบอ้อมอารีมีน้ำใจกว้างขวางแลกล้าหาญนัก
ตนกับคนใช้มุ่งหน้ามาแคว้นตะวันตก แลตลอดทางที่ผ่านมาก็เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไม้
แลห้วยละหานธารน้ำตราบกระทั่งล่วงเข้าสู่เชิงเขาจงน่ำซัว ก็เห็นสภาพอันเป็นที่น่าสลดใจด้วยชาวนาในตำบลนี้
ล้วนแต่อดหยากมีรูปร่างผอมโซหน้าซีดเหลืองสองฟากทางมีแต่ซากศพ ของผู้ยากไร้อนาถาเพราะความอดหยากอาหารตายอยู่เรี่ยราย
บางศพมีหญ้าเขียวๆคาปาก ราษฎรที่อดหยากแะถึงแก่ความตายเหล่านี้เป็นที่น่าสมเพชเวทนาแลอนาถนัก
ครั้งแรกโหวกงจื๊อคิดจะบริจาคทาน แต่ครั้นเมื่อเห็นตลอดทางก้มีสภาพเช่นเดียวกันก็อดใจไม่อาจทำได้
โหวกงจื๊อสงสารอยู่แต่ในใจ ขณะนี้ทิวทัศน์ข้างเขาลำเนาไม้เป็นที่จำเริญตาก็ค่อยคลายความสลดใจต่อเหล่าชาวนานั้นลงไปบ้าง
โหวกงจื๊อควบม้ามาด้วยฝีเท้าจัดอีกครู่หนึ่ง ความมืดขมุกขมัวค่อยปกคลุมเข้ามาทุกทีก็รู้สึกกระวนกระวายใจ
เกรงว่าจะไม่ถึงที่พักก่อนเวลาค่ำคืน ในที่สุดควบม้ามาได้อีกสิบกว่าลี้ถึงตลาดเล็กๆแห่งหนึ่ง
โหวงกจื้อก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก พลางตนแลคนใช้ก็ช่วยกันสอดส่ายหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรมคืน
แต่ทั้งตลาดเงียบกริบดั่งปาชัฏปราศจากผู้คนก็นึกประหลาดใจ โหวคังเด็กรับใช้ลงจากม้าเดินตรงไปที่โรงเตี๊ยมเห็นมีป้ายแขวนบอกยี่ห้อว่า
จงน้ำแคะจ้าง จึงร้องตะโกนเรียกว่า เตี๊ยมเกๆ (พวกโรงเตี๊ยม)
ตำแหน่งของโรงเตี๊ยมนั้นปลุกสร้างอยู่ติดภูเขา เสียงตะโกนอันดังจึงก้องสะท้อนย้อนกลับมาเป็นเสียงโหวคังนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ภายในโรงเตี๊ยมนั้นเงียบไม่ผิดโรงทึม
สายลมพัดกรรโชกมาจากทางเหนือส่งเสียงดัง ซู่ซ่า ทั้งสองมีความหนาวเย็นจนร่างสะท้าน
โหวเฉียวจงสงสัยนักจึงชักกระบี่ปราดเข้าไปข้างในทันที
ในโรงเตี๊ยมมีผีเฝ้าอยู่สองศพ เลือดไหลติดพื้นเกรอะกรังอยู่มีสีดำเขรอะ ฝูงแมลงพากันบินว่อนเวียนตอมอยู่
กลิ่นเหม็นคละคลุ้งเข้าจมูกจนแทบผงะ โหวเฉียวจงคะเนว่าศพทั้งสองนี้คงตายมาหลายวันแล้ว
พอเหลือบไปเห็นหน้าศพที่นอนตายน่ากลัวนักก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจหันวิ่งกลับออกมาทันที
แต่พอได้สติก็หวนกลับพิจารณาดูรอบบริเวณนั้น หีบห่อตู้โต๊ะถูกรื้อค้นกระจุยกระจายบานประตูหน้าต่างหักพังเหมือนถูกของแข็งกระทุ้งกระแทก
สิ่งเหล่นี้เป็นที่ประจักษ์ว่าคงถูกโจรผู้ร้ายบุกปล้นสะดม
โหวคังตามเข้าไปบ้าง โหวเฉียวจงจึงบอก เราลองไปเที่ยวหาที่อื่นกันเถิด
ไม่แต่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นแห่งเดียว แม้ทุกร้านบ้านช่องในตลาดก้มีสภาพคล้ายคลึงกัน
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นสตรีบางนางร่างเปลือยล้อนจ้อน แสดงว่าได้รับความข่มขืนแล้วถูกฆ่าตาย
ตลาดแห่งนี้เป็นทำเลมีทิวทัศน์สวยงามอย่างดี กลับกลายเป็นสิ่งที่น่าอนาถสังเวชใจเสียนี่
กระไรกลิ่นเหม็นจากซากศพฟุ้งออกมาตามลม แม้ผู้ใดจะใจแข็งหรือกล้าหาญเด็ดเดี่ยวสักเพียงใด
ก็อาศัยหลับนอนพักผ่อนมิได้ด้วยสุดจะทนทานกลิ่นสาบสางอันเหม็นจัดได คนทั้งสองจึงควบม้าเตลิดไปทางตะวันตกโดยเร็ว
ม้าฝีเท้าจัดควบไปไกลได้อีกสิบลี้ ทั้งสองก็รู้สึกหิวโหยเป็นกำลัง
แลขณะที่ยังมิคิดจะทำประการใด โหวคังก็สะดุ้งเอ่ยขึ้นว่า กงจื๊อจงมองดูเบื้องหน้าโน้นเถิด
โหวเฉียวจงมองตามมือชี้ เห็นแสงไฟริบหรี่ปรากฏอยู่ข้างหน้ามิสู้ไกลนัก
อ้างอิง : ดาบประกาศิต เล่ม 1 แปลโดย จำลอง พิศนาคะ สนพ. บันดาลสาส์น 2516
![]() |