|
เนื้อเรื่องย่อ
: ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน จิวไซตือ ที่แบ่งปันเคล็ดวิชาให้
ยอดมือปราบ โก้วเล้ง น.นพรัตน์
สนพ.บรรณกิจ ปี ๒๕๒๑ ๕ เล่มจบ (เล่มเล็ก)
บทที่ ๑
เจ็ดนิ้วสังหาร
มือของโต่วฉิกวางอยู่บนโต๊ะ แต่ถูกหมวกฟางขนาดใหญ่ใบหนึ่งปิดบังไว้
เป็นมือซ้าย
ไม่มีผู้ใดทราบว่า มันไฉนใช้หมวกปิดบังมือของตนเอง ?
โต่วฉิกย่อมไม่เพียงมีมือข้างเดียว มือขวาของมันถือขนมเปียะก้อนหนึ่ง ตัวมันก็เช่นเดียวกับขนมเปียะ
ทั้งแห้งกรัง ทั้งเย็นเฉียบ ทั้งแข็งกระด้าง
ที่นี่เป็นเหลาสุรา เป็นเหลาเทียนเฮี่ยงเล้า(เหลาฟ้าหอม)
บนโต๊ะมีกับแกล้ม และมีสุรา
แต่โต่วฉิกกระทั่งแตะต้องยังไม่แตะต้อง แม้แต่น้ำชายังไม่ดื่ม เพียงกัดกินขนมเปียะที่ตนเองพกนำมาช้าๆ
โต่วฉิกเป็นคนสุขุมรอบคอบ มันไม่ต้องการให้ผู้อื่นพบว่า มันถูกแพร่พิษสังหารบนเหลาสุรา
!
มันเองเคยคำนวณนับมา ในวงนักเลงมีผู้คิดสังหารมันอย่างน้อยสี่ร้อยเจ็ดสิบคน
แต่ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่
ยามสนธยา
ก่อนสนธยา
บนท้องถนนมีผู้ตนคราคร่ำ พลันปรากฎม้าเร็วตัวหนึ่งห้อตะบึงมา ชนผู้คนสามคน
แผงลอยสองแผง รถเข็นคันหนึ่งพลิกล้มลง
คนบนหลังม้าสะพายดาบยาว ท่วงท่าคึกคักปราดเปรียว พอเห็นป้ายยี่ห้อเหลาฟ้าหอม
พลันลอยตัวขึ้นจากอานม้า ม้วนตัวตีลังกากลางอากาศ พุ่งควับเข้าเหลาสุราดุจเกาทัณฑ์
บนเหลาสุราบังเกิดความปั่นป่วน แต่โต่วฉิกยังไม่เคลื่อนไหว
ชายฉกรรจ์สะพายดาบพอพบเห็นโต่วฉิก ตลอดทั้งร่างคล้ายแข็งทื่อ ระบายลมหายใจ
ก้าวยาวๆ เข้ามา
มันไม่ได้เอ่ยปากทักทายโต่วฉิก แต่ก้มกายยื่นมือ เลิกหมวกฟางบนโต๊ะขึ้นมุมหนึ่ง
ใบหน้าแดงกำพลันซีดขาวลง พึมพำว่า
"ใช่แล้ว เป็นท่าน"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหวและไม่เอ่ยปาก
ชายฉกรรจ์สะพายดาบพลิกมือวูบ ชักดาบจากฝัก ประกายดาบแลบแปลบ ฟันใส่มือซ้านตนเอง
นิ้วมือมันชุ่มโชกด้วยโลหิต สองนิ้วตกลงบนโต๊ะ เป็นนิ้วนางและนิ้วก้อย
ใบหน้าซีดขาวของชายฉกรรจ์สะพายดาบ ปรากฎเหงื่อยะเยียบพร่างพรูดุจห่าฝน สุ้มเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นแหบแห้ง
ถามว่า
"นี่พอแล้วหรือไม่ ?"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยปาก
ชายฉกรรจ์สะพายดาบขบกรามกรอด พลันตวัดดาบอีกครา
มือซ้ายที่ขาดสองนิ้วของมันวางอยู่บนโต๊ะ มันกลับฟันมือซ้ายตนเองออกมาทั้งข้าง
ค่อยถามว่า
"นี่พอแล้วหรือไม่ ?"
ในที่สุดโต่วฉิกค่อยกวาดมองมันแวบหนึ่ง ผงกศีรษะกล่าวว่า
"ไป !"
ใบหน้าชายฉกรรจ์สะพายดาบ บิดเบี้ยวผิดสารรูปด้วยความเจ็บปวด แต่ระบายลมหายใจยาวๆ
กล่าวว่า
"ขอบคุณ"
มันไม่กล่าวกระไรอีก โซซัดโซเซโถมลงจากเหลาสุรา
ชายฉกรรจ์ผู้นี้มีท่วงท่าปราดเปรียว พลังฝีมือสูงเยี่ยม ไฉนพอเหลือบมองไปในหมวกของโต่วฉิกแวบหนึ่ง
ก็ยินยอมฟันมือตัวเองข้างหนึ่ง ? มิหนำซ้ำคล้ายสำนึกขอบคุณโต่วฉิกยิ่ง ?
ในหมวกใบนี้ ที่แท้มีความลับใด ?
ไม่มีผู้ใดทราบ
ยามสนธยา สนธยาพอดี
ผู้คนสองคนรีบรุดขึ้นเหลาสุรา เป็นคนสวมชุดทองหรูหรา ท่วงท่าทรงอำนาจสองคน
ผู้คนส่วนใหญ่บนเหลาสุรา พอพบเห็นพวกมันพากันผุดลุกขึ้น น้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม
ในละแวกแปดร้อยลี้นี้ ผู้ที่ไม่รู้จักกิมเปียงงึ่นตอ ตวนสี่ซังเอ็ง (ดาบเงินแส้ทอง
สองผู้กล้าตระกูลตวน) มีไม่มากนัก ผู้ที่กล้าเสียมารยาทต่อพวกมัน ยิ่งมีไม่กี่คน
แต่สองพี่น้องตระกูลตวนไม่ทักทายพวกมัน และไม่ทักทายโต่วฉิก เพียงแต่เดินมา
ยื่นมือเลิกหมวกฟางบนโต๊ะขึ้นมุมหนึ่ง มองดูแวบหนึ่ง สีหน้าล้วนเผือดขาวลง
สองพี่น้องสบตาวูบหนึ่ง พี่ใหญ่ตวนเอ็งกล่าวว่า
"ใช่แล้ว"
น้องรองตวนเกี๊ยกห้อยมือสำรวม น้อมกายกล่าวว่า
"ท่านที่นับถือให้เกียรติมา มีคำสั่งสอนใด ?"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยปาก
มันไม่เคลื่อนไหว ตวนเอ็งตวนเกี๊ยกก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว ยืนเซื่องซึมเซาอยู่เบื้องหน้ามัน
พวกมันเป็นผู้ห้าวหาญในดินแดนแว่นแคว้นหนึ่ง ไฉนพอมองไปในหมวกแวบหนึ่ง ก็เกรงกลัวมันปานนี้
? ยำเกรงมันปานนี้ ?
หรือภายในหมวกซุกซ่อนเวทมนต์อันน่าสะพึงกลัวชนิดหนึ่ง ?
ยามสนธยา หลังสนธยา
บนเหลาสุราจุดโคมไฟขึ้น
แสงโคม ส่องต้องใบหน้าสองผู้กล้าตระกูลตวน ใบหน้าของพวกมันล้วนปรากฎเหงื่อยะเยียบไหลหลั่ง
โต่วฉิกไม่ได้ออกปากสั่งพวกมันกระทำเรื่องใด พวกมันความจริงสมควรรู้สึกปลอดโปร่งใจจึงถูกต้อง
แต่ดูจากสีหน้าพวกมัน คล้ายอาจปรากฎเภทภัยกร้ำกรายทุกขณะจิตก็ปาน
ม่านวิกาลกราย ดวงดาวเริ่มทอแสง
ในความมืดนอกเหลาสุรา พลันบังเกิดเสียงเป่าหวีดไม้ไผ่ประหลาดพิกลดังขึ้น
เสียงหวีดแหลมเล็กกราดเกรี้ยว คล้ายภูติคร่ำปิศาจครวญ
สองพี่น้องตระกูลตวน หน้าแปรเปลี่ยนอีกครา กระทั่งแก้วตาก็หดเล็กลงด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง
โต่วฉิกยังไม่เคลื่อนไหว
ดังนั้นพวกมันยังไม่กล้าเคลื่อนไหว ยิ่งไม่กล้าจากไป
พลันได้ยินเสียงโครมใหญ่ เพดานห้องถูกทะลวงเป็นช่องใหญ่สี่ช่องโดยพร้อมเพรียง
ผู้คนสี่คนละลิ่วลงโดยพร้อมเพรียง เป็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำสูงแปดเชียะ เปลือยร่างท่อนบน
แต่สวมกางเกงรัดเท้าสีแดงฉานราวโลหิต ใช้สายรัดสีทองแวววาวเส้นหนึ่งล้อมคาดไว้
บนสายรัดเสียบมีดโค้งลักษณะประหลาด ด้ามมีดก็เปล่งประกายสีทองจำนวนสิบสามเล่ม
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสูงใหญ่ทั้งสี่ ขณะพลิ้วลงสู่พื้น กลับแผ่วเบาราวปุยนุ่น
พอละลิ่วร่างลงก็แยกย้ายยืนหยัดอยู่มุมเหลาสุราทั้งสี่มุม
ท่าทีของพวกมันดูไปก็ตื่นเต้นตึงเครียด ดวงตาทอแววหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูกชนิดหนึ่ง
ขณะที่ทุกผู้คนมุ่งความสนใจมายังพวกมัน บนเหลาสุราพลันเพิ่มผู้คนอีกคนหนึ่ง
คนผู้นี้สวมมงกุฎทอง ใส่ชุดแพรที่ถักจากใยทอง หว่างเอวก็ล้อมคาดสายรัดทองคำเส้นหนึ่ง
บนสายรัดเอวก็เสียบดาบโค้งทองคำเล่มหนึ่ง ใบหน้าขาวผ่อง กลมเกลี้ยงดังจันทร์เพ็ญ
สองผู้กล้าตระกูลตวน แม้เป็นยอดฝีมือชาวบู๊ลิ้มที่ประกายตาเจิดจ้าดั่งคบเพลิง
กลับดูไม่ออกว่าคนผู้นี้ละลิ่วลงจากหลังคาตึก หรือพลิ้วเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
?
แต่พวกมันรู้จักคนผู้นี้
นี่คือเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งทะเลน่ำไฮ้
.กิมกวงอ้วง(จ้าวมงกุฎทอง) อ้วงซุนบ้อกี๋
มาตรว่าไม่รู้จักมัน เพียงดูลักษณะการแต่งกาย บุคลิกท่าทีของมัน ก็ทราบว่ามันเป็นใคร
โต่วฉิกยังไม่เคลื่อนไหว กระทั่งเหลือบแลยังไม่ชำเลืองมองมัน
จ้าวมงกุฎทองกลับเดินเข้ามา ก้มกายยื่นมือเลิกหมวกฟางเล็กน้อย มองดูแวบหนึ่ง
พลันระบายลมหายใจ กล่าวว่า
"ใช่แล้ว เป็นท่าน"
มันความจริงมีสีหน้าเขม็งตึงเครียด ยามนี้กลับปรากฏรอยยิ้มปลื้มปิติขึ้นวูบ
พลับปลดสายรัดทองคำจากหว่างเอว บิดหัวกลัดคราหนึ่ง ในสายรัดทองคำปรากฏไข่มุกสุกใสกลมเกลี้ยงพรูออกมาสิบแปดลูก
จ้าวมงกุฎทองใช้สายรัดทองล้อมไข่มุกทั้งสิบแปดลูกไว้บนโต๊ะ น้อมกายแย้มยิ้มกล่าวว่า
"นี่พอหรือไม่ ?"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยปาก
ยามนั้น เสียงเป่าหวีดไม้ไผ่ในความมืด ยิ่งมายิ่งเร่งร้อนยิ่งมายิ่งกระชั้นใกล้เข้ามา
รอยยิ้มของจ้าวมงกุฎเต็มฝืนอยู่บ้าง พลันยกมือปลดมงกุฎทองคำลงจากศีรษะ บนมงกุฎทองฝังหยกมรกตเขียวสดใสสิบแปดก้อน
มันวางมงกุฎทองลงบนโต๊ะ ถามว่า
"นี่พอหรือไม่ ?"
โต่วฉิกยังไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยปาก
จ้าวมงกุฎทองปลดดาบมองอีกเล่มหนึ่ง ประกายดาบเกรี้ยวกราดรังสียะเยียบคุกคามคน
ถามว่า
"นี่พอหรือไม่ ?"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหว
จ้าวมงกุฎทองขมวดคิ้วกล่าวว่า
"ท่านต้องการอะไร ?"
โต่วฉิกพลันกล่าวว่า
"ต้องการนิ้วหัวแม่มือขวาของท่าน !"
นิ้วหัวแม่มือขวาพอขาดสะบั้น มือข้างนี้ก็ไม่อาจจับดาบได้อีก ยังไม่อาจซัดมีดบินได้
จ้าวมงกุฎทองรับฟังจนหน้าแปรเปลี่ยนไป
แต่ยามนั้น เสียงเป่าหวีดไม้ไผ่ยิ่งเร่งร้อน ยิ่งใกล้เข้ามาพอกระทบโสต คล้ายเข็มแหลมคมทิ่มแทงใส่รูหู
จ้าวมงกุฎทองขบกรามกรอด ยกมือขวายื่นนิ้วหัวแม่มือออก กล่าวเสียงเกรี้ยวกราด
"มีดมา"
ชายฉกรรจ์เปลือยแขน ที่ยืนอยู่มุมเหลาผู้หนึ่งพลันชักมีดจากบนสายรัดเอว ประกายสีทองแลบแปลบ
มีดโค้งเล่มหนึ่งพุ่งฝ่าอากาศมา วนเวียนผ่านมือมันวูบหนึ่ง
นิ้วมือที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตนิ้วหนึ่ง ตกลงบนโต๊ะในบัดดล
มีดโค้งตีวงกลางอากาศรอบหนึ่ง กลับพุ่งกลับไปในเงื้อมมือเจ้าของ
จ้าวมงกุฎทองกล่าวด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
"นี่พอแล้วหรือไม่ ?"
ในที่สุดโต่วฉิกเงยหน้ามองมันแวบหนึ่ง ถามว่า
"ท่านต้องการอะไร ?"
จ้าวมงกุฎทองกล่าวว่า
"ต้องการให้ท่านฆ่าคน"
"ฆ่าผู้ใด ?"
"กุ้ยอ้วง (ภูตบดี)"
"ภูตบดีอิมทิ้ว ?"
"ใช่"
โต่วฉิกไม่เอ่ยปากอีก และไม่เคลื่อนไหว
แต่สองพี่น้องตระกูลตวนอดหน้าถอดสีมิได้
ภูติบดีอิมทิ้ว เป็นนามที่เพียงพอกับการข่มขวัญสั่นวิญญาณพวกมัน
ยามนั้น เสียงหวีดไม้ไผ่พลันเปลี่ยนแปร เปลี่ยนเป็นละห้อยหวนโหย ดุจหญิงหม้ายครวญคร่ำ
คนตาบอดเป่าขลุ่ยกลางดึก
จ้าวมงกุฎทองตวาดเบาๆ
"ดับเทียน"
บนเหลาสุราจุดโคมไฟสว่างไสว อย่างน้อยจุดเทียนไขยี่สิบกว่าเล่ม
ชายฉกรรจ์เปลือยแขนทั้งสี่ พลันตวัดมือโดยพร้อมเพรียง ประกายสีทองแปลบปลาบ
พลังดาบแหวกฝ่าอากาศดังควับเควี้ยว เทียนไขทุกเล่มดับวูบไปโดยพร้อมเพรียง
รอบบริเวณมืดสนิท มิคาดในความมืดพลันปรากฏแสงไฟหลายสิบจุด ลอยขึ้นจากสันหลังคาตึกรอบเหลาโดยพร้อมเพรียง
แสงไฟสีเขียวซีด ลอยพลิ้วในสายลม คล้ายไฟปีศาจก็ปาน
จ้าวมงกุฎทองโพล่งว่า
"ภูตบดีมาแล้ว"
ลมราตรีเย็นเยือก แสงไฟสีเขียวซีดส่องต้องใบหน้าผู้คน ใบหน้าทุกผู้คนล้วนบิดเบี้ยวผิดสารรูป
เพราะความหวาดหวั่นพรั่นพรึงดูไปก็คล้ายภูติร้ายซึ่งเพิ่งปล่อยออกจากขุมนรกฝูงหนึ่ง
ในเสียงเป่าหวีดไม้ไผ่วิเวกหวนโหย คล้ายครวญคร่ำคล้ายรำพัน พลันบังเกิดเสียงหัวร่อเย็นเยือกดังว่า
"มิผิด เรามาแล้ว"
คำพูดทั้งห้าคำพอกล่าวจบ ลมยะเยียบหอบหนึ่งโชยพัดผ่าน ส่งพัดคนผู้หนึ่งเข้ามา
คนผมยาวสยายประบ่า ใบหน้าเหลืองซีดดั่งสีผึ้ง สวมเสื้อปอชุดยาว ร่างซูบเรียวดุจลำไม้ไผ่ผู้หนึ่ง
ลอยพลิ้วลงสู่พื้น ร่างยังส่ายไหวตลอดเวลา
ดวงตามันก็เป็นสีเขียวซีด จับจ้องมองจ้าวมงกุฎทองโดยไม่กระพริบ หัวร่ออย่างเยือกเย็น
กล่าวว่า
"เจ้าหนีไม่รอดหรอก เราบอกแล้วว่าเจ้าต้องตายแน่นอน"
จ้าวมงกุฎทองก็แค่นหัวร่อกล่าวว่า
"ท่านจึงต้องตายแน่นอน"
"เรา ?"
"ท่านไม่บังควรมายังที่นี้ ในเมื่อรุดมา ก็ต้องตายแน่นอน"
ภูตบดีกล่าวว่า
"เจ้าสามารถฆ่าเรา ?"
"เราไม่สามารถ"
"ผู้ใดสามารถ ?"
"มัน"
มันคือโต่วฉิก
โต่วฉิกยังไม่เคลื่อนไหว กระทั่งสีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปร
ภูตบดีเพ่งตาเขียวปัดชั่วร้ายจับจ้องมองมัน กล่าวว่า
"เจ้าสามารถฆ่าเรา ?"
คำตอบของโต่วฉิกรวบรัดยิ่ง
"ใช่"
ภูตบดีส่งเสียงหัวร่อกล่าวว่า
"ใช้อะไรฆ่า ? หรือใช้หมวกฟางขาดคร่ำคร่าของเจ้าใบนี้ ?"
โต่วฉิกไม่เอ่ยปากอีก แต่ยื่นมือขวา เลิกหมวกฟางบนโต๊ะขึ้นช้าๆ
ใต้หมวกใบนี้ที่แท้มีอะไร ?
ใต้หมวกไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีแต่มือข้างหนึ่ง เป็นมือซ้าย
แต่มือซ้ายของโต่วฉิก กลับมีนิ้วเจ็ดนิ้ว !
นิ้วของมันหยาบหนายิ่ง คล้ายแก่งหินชายฝั่งทะเล ที่ถูกคลื่นซัดกระหน่ำชั่วนาตาปี
พอเห็นมือข้างนี้ ภูติบดีคล้ายพบเห็นภูติผีเอง ร้องโพล่งด้วยความตระหนก
"ฉิกซัวะชิ่ว (เจ็ดนิ้วสังหาร) !"
โต่วฉิกไม่เคลื่อนไหว และไม่เอ่ยปาก
ภูตบดีกล่าวว่า
"เราไม่ได้มาหาท่าน ท่านทางที่ประเสริฐอย่าได้ยุ่งเกี่ยว"
โต่วฉิกกล่าวว่า
"เรายุ่งเกี่ยวแล้ว"
"ท่านต้องการอะไร ?"
"ต้องการให้ท่านไป"
ภูตบดีกระทืบเท้ากล่าวว่า
"ตกลง ท่านรั้งอยู่ เราไป"
"ทิ้งศีรษะไว้แล้วค่อยจากไป"
แก้วตาภูตบดีหดเล็กลง พลันแค่นหัวร่อกล่าวว่า
"ศีรษะอยู่ที่นี้ ท่านไยไม่เข้ามาหยิบฉวย ?"
โต่วฉิกกล่าวว่า
"แล้วท่านไฉนไม่ส่งเข้ามา ?"
ภูตบดีเปล่งเสียงหัวร่อ เสียงหัวร่อเกรี้ยวกราดหวนโหย
ในเสียงหัวร่อกราดเกรี้ยว ร่างมันพลันลอยพลิ้วขึ้นดุจวิญญาณภูตพราย โถมปราดเข้าหาโต่วฉิก
ร่างมันยังไม่บรรลุถึง ก็ปรากฏประกายสีเขียวปัดสิบสองสายพุ่งวาบออก
โต่วฉิกตวัดหมวกฟางในมือขวาขึ้นวูบ ประกายสีเขียวเต็มฟ้าพลันหายวับ
พริบตานั้น ร่างภูตบดีพลันโถมถึง ในมือเพิ่มกระบี่สีเขียวปัดเล่มหนึ่ง แทงปราดใส่คอหอยโต่วฉิกดุจสายฟ้า
กระบี่นี้จู่โจมจากกลางอากาศ ท่วงท่าพลิกแพลงแผ่วพลิ้ว เห็นประกายสีเขียวเลื่อมพราย
ดูไม่ออกว่ากระบี่ของมันแทงจากที่ใด
โต่วฉิกกลับยื่นมือตะกุยปราดออก
ในม่านกระบี่สีเขียวเรือง เห็นมือสีเทาซีดที่มีนิ้วเจ็ดนิ้วตะกุยใส่อากาศคราหนึ่ง
จากนั้นตะกุยปราดอีกครา
ประกายกระบี่ไหววูบวาบไม่หยุดยั้ง มือข้างนี้ก็พลิกแพลงตามติดตลอดเวลา ตะกุยครั้งแล้วครั้งเล่า
ตะกุยติดต่อกันเจ็ดครั้ง
พลันได้ยินเสียงเคร้ง ประกายกระบี่สลายวับ ในมือเพียงหลงเหลือกระบี่หักครึ่งท่อนเล่มหนึ่ง
!
ประกายกระบี่วูบอีกครา กลับแผ่พุ่งจากมือโต่วฉิก
ที่แท้โต่วฉิกคีบกระบี่หักครึ่งท่อน แทงสวบใส่คอหอยภูตบดี !
ไม่มีผู้ใด บรรยายระดับความเร็วของกระบี่นี้ได้ และไม่มีผู้ใดเห็นท่าจู่โจมของมันชัดตา
ทั้งหมดเพียงได้ยินเสียงแผดร้องโหยหวน จากนั้นภูตบดีก็ล้มลง
ไม่มีสรรพเสียง ไม่มีแสงสว่าง
แสงไฟนอกเหลาพลันหายวับ รอบบริเวณเปลี่ยนเป็นมืดมิดสนิทอีกครา
ความเงียบสงัดปานวังเวง ความมืดมิดปานเปลี่ยวร้าง กระทั่งเสียงลมหายใจก็ไม่มี
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด ค่อยได้ยินเสียงจ้าวมงกุฎทองดังว่า
"ขอบคุณ"
โต่วฉิกกล่าว่า
"ท่านไป นำซากภูตบดีไป"
"ทราบแล้ว"
จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้าสับสน ลงจากเหลาอย่างเร่งร้อน
แว่วเสียงโต่วฉิกดังอีกว่า
"พวกเจ้าทั้งสองก็ไป ทิ้งอาวุธพวกเจ้าแล้วจากไป"
"ทราบแล้ว"
สองพี่น้องตระกูลตวน รับคำโดยพร้อมเพรียง วางอาวุธลงบนโต๊ะ เป็นแส้เส้นหนึ่ง
ดาบเล่มหนึ่ง
โต่วฉิกกล่าวต่อ
"จดจำไว้ ครั้งหน้าหากพกพาอาวุธมาหาเราอีก ก็ต้องตาย !"
ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงอีก สองพี่น้องตระกูลตวนลงจากเหลาอย่างเงียบงัน
ในความมืดกลับคืนสู่ความเงียบสงัดอีกครา
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด พลันปรากฏแสงโคมจุดหนึ่งวูบขึ้น
โคมอยู่ในมือคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้ความจริงดื่มกินอยู่บนเหลาเพียงลำพัง ลูกค้าอื่นล้วนจากไป
แต่มันยังไม่ไป
เป็นชายกลางคนท่วงท่าธรรมดาสามัญ เปี่ยมไปด้วยอัธยาศัยอันอ่อนโยน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอันแจ่มใส
ยิ้มพลางกล่าวกับโต่วฉิกว่า
"เจ็ดนิ้วสังหาร ยอดเยี่ยมสมดังกิตติศัพท์ร่ำลือจริงๆ"
โต่วฉิกไม่แยแสสนใจมัน และไม่เหลือบแลมัน ใช้กระสอบป่านใบหนึ่ง บรรจุอาวุธและอัญมณีบนโต๊ะ
เดินช้าๆลงจากเหลา
ชายกลางคนกลับร้องเรียกว่า
"โปรดชะงักเท้า"
โต่วฉิกหันควับกลับ กล่าวว่า
"เจ้าเป็นใคร ?"
ชายกลางคนกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าโง้วปุกคอ"
"เจ้าก็คิดตาย ?"
โง้วปุกคอกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งมาถ่ายทอดวาจา"
"วาจาใด ?"
"มีคนผู้หนึ่งต้องการพบหน้าฉิกเอี้ย (นายที่เจ็ด)สักครา คิดเชิญฉิกเอี้ยรุดไปสักครั้ง"
โต่วฉิกกล่าวเสียงเย็นชา
"ไม่ว่าผู้ใดต้องการพบเรา ล้วนต้องรุดมาเอง"
"แต่คนผู้นี้
"
"คนผู้นี้ก็ต้องรุดมาเอง เจ้าไปบอกต่อมัน ทางที่ประเสริฐให้คลานมา ไม่เช่นนั้นก็ต้องคลานกลับไป
!"
มันไม่คิดกล่าวต่อ สาวเท้าลงจากเหลา
โง้วปุกคอยังแย้มยิ้ม กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าจะถ่ายทอดคำพูดของฉิกเอี้ย ต่อเล้งโหงวกงจื้อแน่นอน"
โต่วฉิกพลันชะงักเท้า เหลียวควับมาอีกครา ใบหน้าที่กระด้างดั่งศิลาแลง กลับปรากฏแววตระหนกขึ้น
กล่าวว่า
"เล้งโหงว ? เล้งโหงวแห่งมลฑลโอ้วน้ำ ?"
โง้วปุกคอยิ้มพลางกล่าวว่า
"นอกจากท่านยังมีผู้ใด ?"
โต่วฉิกถามว่า
"มันอยู่ที่ใด ?"
"คืนเพ็ญเดือนเจ็ด (สารทจีน) เล้งโหงวกงจื้อจะน้อมรอที่เทียนเฮี่ยงเล้า
(เหลาฟ้าหอม) ประจำเมืองฮั่งจิว"
ใบหน้าโต่วฉิกปรากฏแววประหลาดพิกลชนิดหนึ่ง พลันกล่าวว่า
"ตกลง เราจะไป"
ยอดมือปราบ โก้วเล้ง น.นพรัตน์
สนพ.บรรณกิจ ปี ๒๕๒๑ ๕ เล่มจบ (เล่มเล็ก)
|