|
เนื้อเรื่องย่อ
:
๑
สำนักพเนจร
เงาร่างสายหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางหุบเขาอันรกร้างด้วยความเชื่องช้าเนิบนาบ
อาณาบริเวณแถบนี้ แทบปราศจากผู้คนสัญจร ทางหลวงที่ทอดเหยียดยาว สองฟากข้างมีแต่พันธุ์ไม้รกครึ้ม
มาตรแม้นเป็นยามทิวา แต่บรรยากาศก็วิเวกวังเวงยิ่งนัก
บุคคลที่เดินเหินอย่างโดดเดี่ยว พลันชะงักฝีเท้าพักผ่อนเล็กน้อย แลเห็นเป็นบรรพชิตรูปหนึ่งครองจีวรสีเหลือง
แต่มีอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น มิหนำซ้ำเค้าหน้าก็คมคายสง่างามดวงตาสุกใสแจ่มจ้า
ท่วงท่าสัตย์ซื่อเปี่ยมเมตตาธรรม
หลวงจีนอายุเยาว์ในยามนี้คล้ายดั่งรอนแรมตรากตรำมาตลอดรายทาง จึงต้องหอบหายใจออกมา
มิมีลักษณะว่าได้ฝึกปรือฝีมือจนลึกล้ำเลย ชั่วครู่ให้หลังค่อยคิดจะสาวเท้าก้าวเดิน
.
ขณะนั้นเอง สำเนียงโห่ร้องได้ดังกึกก้องกัมปนาท ที่แท้ปรากฏบุรุษร่างกำยำท่วงท่าดุร้ายสิบกว่าคน
ฮือโหมมาจากทุกทิศทาง สกัดขัดขวางทางเดินเบื้องหน้าเอาไว้
หลวงจีนอายุเยาว์มีสีหน้าแตกตื่นพิศวง แต่ก็รีบประนมมือก้มศีรษะเป็นเชิงคารวะต่อทุกผู้คนอย่างเคร่งขรึมสำรวม
พลันได้ยินสุ้มเสียงอันแหบห้าวสะท้านโสตดังขึ้นว่า
ที่แท้คือหลวงจีนน้อยผู้หนึ่ง แต่จากลักษณะการแต่งกายเป็นศิษย์สังกัดสำนักเสียวลิ้มยี่
คาดว่าคงมิสร้างความผิดหวังให้กับพวกเรา ท่านมีนามอันใด ?"
หลวงจีนอายุเยาว์วัยกวาดตามองไป แลเห็นผู้เอื้อนเอ่ยาวาจายืนหยัดอยู่ล้ำหน้าชายฉกรรจ์อีกสิบห้าคน
แสดงว่าเป็นผู้นำของขบวนนี้ และมีร่างกายสูงตระหง่านนัยน์ตาโปนโต หนวดเครารกครึ้ม
และยังสะพายดาบปีศาจเล่มมหึมา จึงอดบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงมิได้รีบกล่าวว่า
"เพศบรรพชิตไร้เรียงนาม อาตมาสมญาฮือจินแห่งเสียวลิ้มยี่ ทุกท่านมีคำแนะนำประการใด
เรายินดีปฏิบัติตาม"
บุรุษร่างสูงใหญ่เปล่งเสียงร้องว่า
"พวกเราทั้งหมดยึดครองอาณาเขตของเทือกเขานี้ มิว่าผู้ใดจะผ่านทาง ก็ต้องสูญเสียเงินทอง
เพื่อพิทักษ์ความปลอดภัยให้แก่ตัวเอง จงมอบสมบัติที่มีอยู่ออกมา !"
ที่แท้บรรดาบุรุษฉกรรจ์เหล่านี้ คือโจรร้ายปล้นสะดมชิงทรัพย์ภายใต้การนำของกุ้ยตอ
(ดาบปีศาจ) จิวอุ้ยยึดที่มั่นอยู่ในอาณาบริเวณนี้สร้างสมเภทภัยการฆ่าฟันจนอื้อฉาว
จนมิมีผู้กล้าผ่านทางมาและพวกมันล้วนแต่ฝึกปรือฝีมือจนสูงสุด ต่างก็ลำพองผยองและโหดร้ายทารุณเป็นที่ยิ่ง
ฮือจินพอรับฟังก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป รีบกล่าวว่า
"เราไหนเลยจะมีสมบัติพัสถานอยู่ในครอบครองขออภัยที่มิอาจกระทำได้
."
ดาบปีศาจจิวอุ้ยกระชากอาวุธคู่มือออก กระชับมั่นในบัดดล ประกายดาบแผ่ประกายคุกคามประสาท
มันเค้นเสียงกล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ต้องสูญเสียชีวิตใต้คมสาตราวุธของเราแล้ว"
ฮือจินประนมมือขึ้น กล่าวอย่างหมกหมุ่นว่า
"พุทธองค์มีคำสอนว่า การสำนึกผิดจะพบฟากฝั่งอนสันติ วางดาบประหารจะสำเร็จเป็นอรหันต์
ทุกท่านไยมิละเว้นการสร้างสมบาปกรรมประพฤตตนอย่างดีงามน่าแซ่ซ้อง
."
บรรดาโจรร้ายพากันโห่ร้องคำรามอย่างดุร้ายป่าเถื่อน ดาบปีศาจก็เบิ่งตาจนแทบเหลือกถลน
ตวาดว่า
"ไฉนจึงมีวาจาพร่ำพิไรถึงปานนี้ หลวงจีนน้อยหากมิช่วยเหลือด้วยเงินทอง
ก็ต้องมอบชีวิตมา
."
พลางสะอึกกายหมายโถมปราดเข้าทำร้าย คาดมิถึงว่า สำเนียงหนึ่งได้ดังขึ้นว่า
"อา โรคร้ายแทรกซึมจนเรื้อรัง แม้คิดตกตายก็มิสมปรารถนา นับเป็นเคราะห์กรรมอันมหันต์"
กระแสเสียงอ่อนระโหยราวกับผู้เจ็บไข้ แต่ทุกถ้อยกระทงความดังถนัดชัดเจน แสดงว่าผู้เอื้อนเอ่ยได้เร้นกายเข้ามาในละแวกใกล้เคียง
โดยที่โจรร้ายซึ่งชุมนุมอยู่ถึงสิบกว่าคน มิรู้สึกสำนึกแม้แต่น้อย
ฮือจินพอได้ยินสำเนียงของฝ่ายตรงข้าม ก็บังเกิดความเวทนาสงสารจนจับจิต รีบกวาดสายตาสำรวจมองแลเห็นในดงพนาข้างทางหลวงมีเงาร่างสี่สาย
เคลื่อนตรงมาทางบริเวณนี้
ผู้นำหน้าเป็นบุรุษวัยกลางคน เรือนร่างผอมซูบดวงตาหรี่ปรือใบหน้าเหลืองซีด
ท่วงท่าราวกับผู้ป่วยไข้เรื้อรังมานานปี อาภรณ์ที่สวมใส่ก็เก่าคร่ำคร่า มิมีลักษณะสะดุดตาเลย
ถัดจากนั้นเป็นบุรุษที่มีร่างกายดังเจดีย์เหล็กบึกบึนสูงใหญ่ยิ่งนัก และยังแบกป้ายศิลามหึมา
ซึ่งใช้สลักนามผู้เสียชีวิต และปักอยู่หน้าสุสานทั่วไป
อีกสองคน หนึ่งมีร่างกายสมสัดส่วน ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลา แต่ฟันแถวหน้าได้โผล่ออกมานอกริมฝีปาก
มือข้างหนึ่งถือค้อนใหญ่ อีกผู้หนึ่งเรือนร่างผอมเล็ก กระชับพู่กันเหล็กกล้าคู่หนึ่ง
บุคคลทั้งสี่ยามปรากฏกายยังอยู่ห่างจากสถานที่เกิดเหตุ แต่ฮือจินกระพริบตาเพียงคราเดียว
ทั้งหมดก็ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว !
โจรร้ายขบวนนี้ ช่วงชีวิตเกลือกกลั้วจนมีสันดานชั่วร้าย บัดนี้พอพบพานบุคคลแปลกหน้ากล้ำกรายเข้ามา
ก็มีส่วนหนึ่งแผดเสียงด่าว่า
"มารดาเจ้าเถอะ ในเมื่อมาโอดโอยคร่ำครวญ พวกเราก็ส่งเสริมให้ได้รับความสุขสงบเสียเลย"
ได้ยินเสียงตะปบอาวุธดังเปรื่องปร่างมิขาดหู และเงาร่างอันหยาบกร้านสามสี่สาย
อาศัยท่าร่าางที่ปราดเปรียว แยกย้ายกันถาโถมใส่บุรุษกลางคนท่าทางป่วยไข้ทันที
บุรุษกลางคนสีหน้าเหลืองซีดผู้นั้น คล้ายกับมิได้สำนึกว่าภยันตรายกำลังรุกรานมาถึง
ยังรำพึงรำพันอีกหลายประโยค ขณะที่ชายฉกรรจ์สี่คนได้คุกคามเข้าประชิดติดพันแล้ว
แลเห็นบุรุษผู้ป่วยไข้พลันกระแอมไออย่างรุนแรง จนเศษเสมหะพ่นกระจัดกระจาย
เสียงแผดร้องอันโหยหวน ดังเกรี้ยวกราดบาดหู สร้างความตื่นตระหนกให้กับฮือจินที่อยู่ด้านข้าง
เข้าใจว่าบุรุษที่ป่วยเรื้อรังผู้นั้นย่อมต้องตกตายไป แต่ทว่าสำเนียงแผดร้องดังคร่ำครวญต่อเนื่องกันอีกมิขาดหู
จึงทอดสายตาจับมอง พลันแตกตื่นจนสะท้านขึ้นทั้งร่าง
แลเห็นโจรร้ายทั้งสี่พากันเกลือกกลิ้งไปตามพื้นดิน บนใบหน้ามรเศษเสมหะติดเกรอะกรัง
และผิวกายแถบนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ แผ่ขยายลุกลามอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็สูญเสียชีวิต
ฮือจินมาพบเห็นสภาพการล้างผลาญอันสยดสยองเช่นนี้ ถึงกับกายสั่นสะท้าน ส่งเสียงสรรเสริญพระคุณว่า
"โอมมณีตัสสะ ทำลายล้างสิ่งมีชีวิต เป็นบาปกรรมอันมหันต์
"
วินาทีนั้น หัวหน้าโจรร้ายดาบปีศาจจิวอุ้ย พอพบเห็นพวกพ้องได้ถึงแก่ความตายเช่นนั้น
คล้ายดั่งกับฉุกใจได้คิด ทำให้ร้องกระเส่าว่า
"ท่านคือ..แป่เงี่ยมล้อ (เพชฌฆาตป่วยไข้) เซียวปั่วเมี้ย ในไท้งักซี่อั๊ก
(สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดิน) !"
ความจริงบุคคลประหลาดทั้งสี่คนนี้ มีสมญาสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดิน ตลอดชีวิตทำลายล้างผู้คนจำนวนสุกคณานับ
แม้แต่ภูตผีเทพเจ้าประสบพบยังต้องหวั่นหวาด
ทั้งสี่สาบานเป็นพี่น้องกัน พี่ใหญ่มีสมญาเพชฌฆาตป่วยไข้เซียวปั่วเมี้ย ทุกส่วนสัดบนร่างกายมีพิษร้ายแรง
ผู้ใดจับต้องหรือถูกจู่โจม ก็ต้องขาดใจตายในบัดดล
ส่วนคนที่สอง สมญาหม่อปีไซ่เจี้ย (เทวฑูตป้ายสุสาน) เซี้ยเซี่ยงฮวง น้องที่สามเรียกว่าแชทุ้ยทิเต็ง
(ค้อนดาวตะปูเหล็ก) ฮวยเกี่ยมเอี่ย ส่วนน้องที่สี่มีนาม ซังปิกไก่แซ่ (พู่กันคู้สยบมณฑล)
ก่ายอิกเม้ง
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินยามสังหารผู้คนดุจดั่งขยี้มดปลวก ช่วงเวลานั้นได้ยินค้อนดาวตะปูเหล็กตวาดดังกัมปนาทว่า
"สมญาของพวกเราทั้งสี่ ห้ามขาดมิให้ผู้ใดประกาศอ้างถึง ผู้ล่วงละเมิดต้องประหารฆ่าทิ้ง
!"
ฮือจินรู้สึกตื่นเต้นสงสัยมิน้อย ในเมื่อมีสมญานาม ไฉนไม่อนุญาตให้ผู้อื่นเอ่ยอ้าง
และเห็นสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินพลันแยกย้ายกันสะอึกใส่กลุ่มโจรร้ายสิบกว่าคนแล้ว
ดาบปีศาจจิวอุ้ยเป็นผู้ทราบสถานการณ์ ใบหน้าของมันจึงแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดไร้สีเลือด
ขณะนั้นเทวฑูตป้ายสุสานเซี้ยเซี่ยงฮวง พลันรั้งป้ายศิลามหึมาในมือ กดกระแทกใส่คู่ต่อสู้เบื้องหน้า
ภาวะที่จู่โจมจากเบื้องสูง เต็มไปด้วยความหนักหน่วงดุดัน มิหนำซ้ำยังว่องไวปานสายฟ้าแลบพุ่ง
ห่าโลหิตสีแดงฉาน พร้อมกับมันสมองสีขาวสะอาด ได้สาดกระเซ็นไปทั่ว ปรากฏชายฉกรรจ์จำนวนสี่คนถูกกดทับด้วยป้ายศิลา
จนแหลกเหลวเป็นซากศพอยู่บนพื้นพสุธา สภาพการตายอเนจอนาถ
บรรดาโจรร้ายที่หลงเหลือ แลเห็นพวกพ้องล้มตายไปครึ่งหนึ่ง ต่างก็บังเกิดความคลั่งแค้นรันทด
ขู่คำรามดังอื้ออึง แต่จำนวนกว่าครึ่งได้เผชิญการขัดขวางจากค้อนดาวตะปูเหล็กฮวยเกี่ยมเอี่ย
ค้อนอันมหึมาถูกมือขวาของมันกวัดแกว่งขึ้นกลางอากาศมีประกายสีเงินแผ่ครอบคลุมอาณาเขตอันกว้างขวาง
ที่แท้เป็นตะปูซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวค้อนสามารถใช้ออกคราเดียวกว่าร้อยตัว
ดังนั้นชายฉกรรจ์อีกสามคน จึงถูกซัดใส่ตามจุดชีวิตบนร่างกาย ล้มฟุบกายลงบนพื้นดิน
ส่วนพู่กันคู่สยบมณฑล ก่ายอิกเม้งได้กวัดแกว่งอาวุธทั้งสองเล่ม กลุ้มรุมสังหารเหล่าชายฉกรรจ์ที่เป็นสมุนโจรอีกมิกี่คน
พู่กันคู่ใช้กระบวนท่าเดียวแต่พลิกแพลงชั่วร้ายอย่างสุดแสน ทุกครั้งคราได้ทิ่มแทงถูกนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม
ผู้นำของขบวนโจรร้ายจิวอุ้ย พลันสะอึกปราดเข้าหาเพชฌฆาตป่วยไข้อย่างเสี่ยงชีวิต
จู่โจมทั้งดาบและฝ่ามือ มันสำนึกทราบว่า ได้เผชิญกับเภทภัยอันเลวร้าย จึงต้องการหักล้างจนตกตายตามกัน
เพชฌฆาตป่วยไข้มีเรือนร่างซวนเซ หลบเลี่ยงจากดาบปีศาจของฝ่ายตรงข้าม แต่ทว่ากระบวนท่าฝ่ามือได้กระแทกใส่บริเวณชายโครงของมัน
จนแว่วเสียงแผดร้องอันเจ็บปวดดังขึ้น
หากแต่ผู้เสียชีวิตหาใช่เพชฌฆาตป่วยไข้ไม่ เนื่องจากตลอดร่างกายของมันมีแต่พิษอันร้ายแรง
ไม่อาจสัมผัสจับต้อง ดาบปีศาจชักกระตุกสองสามคราแล้วก็ล้มคว่ำลง
ฮือจินยืนหยัดอยู่ในบริเวณ จับจ้องสภาพการณ์ที่อุบัติขึ้น จนขวัญสั่นวิญญาณสะท้าน
บัดนี้พบเห็นรอบกายมีแต่ซากศพเรี่ยราด ถึงกับมีเหงื่อกาฬเย็นยะเยียบแต่ชุ่มโชก
รีบกล่าวว่า
"ชีวิตมนุษย์เรา กำเนิดมาอย่างแสนเข็ญ ท่านทั้งสี่มิอาจก่อเกิดอาถรรพ์การฆ่าฟัน
สมควรสร้างสมเมตตาธรรม มุทิตาต่อส่ำสัตว์
"
เพชฌฆาตป่วยไข้เบือนหน้ามาทางฮือจิน กระแอมไอคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า
"รับทราบมาว่าศิษย์สำนักเสียวลิ้มยี่ ได้รับการอบรมจนฝีมือสูงล้ำ ค่อยอนุโลมให้ออกท่องเที่ยวประกอบวีรกรรม
ดังนั้นเราทั้งสี่จะขอรับคำแนะนำจากท่านบ้าง !
ฮือจินโบกมือจนขวักไขว่รีบกล่าวว่า
"เราเป็นหลวงจีนที่มีพลังฝีมือต่ำทรามที่สุดในเสียวลิ้มยี่
"
สมควรทราบว่า สำนักเสียวลิ้วยี้มีประวัติศาสตร์อันยั่งยืนมาหลายร้อยปี เป็นผู้นำของบู๊ลิ้มมาทุกยุคทุกสมัย
เพศบรรพชิตหรือฆารวาสของสำนัก หลังจากฝึกปรือฝีมือได้ระยะเวลาอันสมควร ก็ต้องผ่านการทดสอบจากขบวนพยุหอรหันต์
หากสามารถทะลวงผ่าน จึงจะนับว่าสำเร็จสมบูรณ์และอนุญาตให้ท่องเที่ยวในวงพวกนักเลง
ดังนั้น สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินจึงเข้าใจว่า ฮือจินเหยียดหยามดูแคลนจนมิยอมพันตู
เทวฑูตป้ายสุสานคำรามก้องว่า
"หลวงจีนน้อย ยโสโอหังนัก.."
พลางรั้งป้ายศิลาในมือขึ้น หมายกดกระแทกใส่ฮือจินแลเห็นบนป้ายศิลามีคราบโลหิตเกรอะกรัง
จึงตื่นตระหนกจนขวัญหนีดีฝ่อ
ฮือจินมีพลังฝีมืออ่อนด้อยจนใช้การมิได้อย่างแท้จริง ซึมทราบว่ามิมีทางต้านทานรับมือกับฝ่ายตรงข้าม
จึงเข้าใจว่าไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้แน่แล้ว
ทันใดนั้น เสียงพิณอันกังวานกึกก้อง ได้แว่วมาจากที่ห่างไกล อุปมาอสนีบาตทลายลง
คิดถล่มทลายบรรพตพสุธา คลื่นเสียงสะท้อนสะท้านโดยมิขาดหู
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินคล้ายดั่งกับทรวงอกถูกพะเนินเหล็กกดใส่ เสียงพิณอันเข้มแข็ง
กระแทกกระทั้นจนต้องถอยร่นไปหลายก้าว สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
เทวฑูตป้ายสุสานกำลังผนึกกำลังหมายจู่โจม คลื่นเสียงของพิณลึกลับ จึงกระทบกระเทือนอวัยวะภายในพลุ่งพล่านปั่นป่วนได้รับบาดเจ็บไป
ฮือจินกลับมิมีความรู้สึกประการใด เนื่องจากพลังการฝึกปรืออ่อนด้วยนั่นเอง
เพียงแต่เข้าใจว่าเสียงพิณกังวานผิดปรกติ มิทราบว่าผู้ใดดีดบรรเลงขึ้น
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินต่างได้รับความตื่นตระหนกอย่างสุดแสน ในยามนั้น เสียงพิณหลังจากดังสะท้อน
แล้วก็ปลาสนาการไป แล้วค่อยแว่วเป็นท่วงทำนองอันกลมกลืนเสนาะโสต ชวนให้ผู้รับฟังบังเกิดอารมณ์อันเจิดกระจ่างไร้นิวรณ์
คลื่นเสียงของพิณที่แผ่กระจายมา กลับมีมนต์ขลังอันประหลาดลึกล้ำสุดบรรยาย
สำเนียงเหมือนกับแฝงไว้ด้วยอานุภาพดึงดูด ชักชวนให้ฮือจินและสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดิน
มีความคิดสืบเสาะที่มาของเสียงพิณจนก้าวเท้าไปเบื้องหน้าอย่างลืมตัว !
ทิศทางที่แว่วเสียงพิณดังมา เป็นส่วนลึกของดงไม้ด้านขวามือ บุคคลทั้งห้ามีอริยาบถอันเคลิบเคลิ้มเซื่องซึมประหนึ่งว่าถูกคาถาอาคมสะกดสยบไว้
เดินเหินจวบจนรู้สึกสว่างเจิดจ้าที่เบื้องหน้าสายตา
เสียงพิณประจวบเหมาะกับชะงักขาดหาย ฮือจินอดเสียดายในการที่มิอาจรับฟังดนตรีจากวิมานแมนมิได้
แต่ก็พบเห็นว่าด้านหน้าเป็นลานอันกว้างขวาง มีแต่เงาคนพลุกพล่านสับสน
กลางลานได้จัดตั้งแผงไม้ไผ่หน้าแผงปักผ้าขาวไว้ผืนหนึ่ง และเขียนอักษรไว้ว่า
"ทำนายราศีแม่นยำปานเทพยดา
ดูลักษณะผู้คนแล้วค่อยบ่งบอกราคา"
สำหรับผู้นั่งประจำอยู่แผงทำนายราศี สวมใส่ชุดบัณฑิตคงแก่เรียน อายุประมาณห้าสิบเศษ
ท่วงท่าเคร่งขรึมชวนให้เลื่อมใส สองฟากข้างอาศัยด้วยบุรุษวัยกลางคนอยู่อีกสองคน
หนึ่งในสองมีร่างกายได้สัดส่วน สวมอาภรณ์อันสมถะมิโอ่อ่า เค้าหน้าหมดจดราบเรียบ
ในมือถือไม้เชี๊ยะอันยาวเหยียด อีกผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดินสวมใส่เสื้อผ้าอย่างพิถีพิถัน
ประคองพิณเจ็ดสายกรีดนิ้วอยู่ไปมา
นอกจากนั้น รอบบริเวณยังมีบุรุษและสตรียืนแออัดกันเกือบยี่สิบคน ลักษณะการแต่งกายธรรมดาสามัญมิชวนสนใจ
และมาตรแม้นมีผู้คนอาศัยจำนวนมาก แต่ล้วนปราศจากสำเนียงพลุกพล่านใดๆ
ที่ห่างไกลออกไป เป็นห้องศิลาก่อสร้างขึ้นอย่างโดดเดี่ยวหลังหนึ่ง มีความกว้างใหญ่ไพศาล
แต่ประหลาดพิสดารอยู่ที่ปราศจากประตูเข้าออก หรือหน้าต่างระบายอากาศแม้แต่บานเดียว
ฮือจินจับจ้องสภาพเบื้องหน้าอย่างตะลึงลาน ท่ามกลางเทือกทิวเขาอันรกร้าง
กลับมาจัดตั้งแผงทำนายโชคชะตา และยังส่งเสียงพิณเป็นเชิงชักชวน มิทราบว่ามีจุดมุ่งหมายประการใด
?"
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินพลัยสังเกตพบความผิดปรกติเนื่องจากบัญฑิตที่อยู่กลางแผงทำนาย
กับบุรุษถือไม้เชี๊ยะและประคองพิณโบราณทั้งสาม ล้วนแต่มีประกายตาวูบวาบกระจ่างจ้า
แสดงว่าพลังการฝึกปรืออันล้ำเลิศ
พวกมันทั้งสี่อาละวาดมาทั่ววงพวกนักเลง ไหนเลยจะมิสำนึกรู้ซึ้งจึงพากันประสานสบตา
ซึมทราบถึงความในใจของซึ่งกันและกัน ลอบตระเตรียมระมัดระวังโดยมิประมาท
บัณฑิตผู้อยู่กึ่งกลางแผงทำนาย พลันยิ้มแย้มอย่างนุ่มนวลกล่าวว่า
"ทุกท่านให้เกียรติแวะเยือนมา ขอให้เล่าฮูได้มีโอกาสรับใช้เกี่ยวกับชะตาราศีของบุคคล
สามารถชี้บ่งอนาคตกาล หากรับการทำนายพยากรณ์จะเป็นผลประโยชน์อย่างเลิศล้ำ
โดยที่ท่านเพียงจ่ายค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย"
สำเนียงอ่อนโยนราบเรียบ ทำให้ฮือจินรู้สึกนิยมชมเชย ในยามนั้นสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินพลันคุกคามมาถึงหน้าแผงทำนายราศี
พู่กันคู่สยบมณฑลส่งเสียงอย่างเยือกเย็นว่า
"ถ้าเช่นนั้น เราทั้งสี่จะให้ท่านทำนายราศีสักคราหนึ่ง มิทราบว่าต้องจ่ายเงินทองเท่าใด
?"
ฮือจินสังเกตพบว่าสี่ผู้โหดยามนี้ มีท่วงท่าเหี้ยมเกรียมประสงค์ร้ายจึงบังเกิดความหวั่นไหว
ได้ยินบัณฑิตผู้นั้นกล่าวตอบโดยมิเหลือบแลฝ่ายตรงข้าม แม้แต่น้อยนิดว่า
"เงินทำนายที่เล่าฮูเยกร้อง จะกำหนดโดยยึดถือจากชะตาราศีของฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งชะตาชีวิตของบุคคลมีทั้งสูงส่งและต่ำทราม ชีวิตที่มีคุณค่าอาจสูงลิบลิ่วถึงพันตำลึงทอง
ส่วนผู้ต่ำต้อยก็หาราคามิได้แม้แต่เศษเงินเพียงหุน"
สุ้มเสียงของมันทั้งมิเคร่งเครียดและไม่ตื่นตระหนก ค้อนดาวตะปูเหล็กจึงกล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้นชีวิตของพวกเรามีราคาสักเท่าใด ?"
บัณฑิตผู้นั้นพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า
"ท่านทั้งสี่คำนวณจากโชคชะตาราศี รู้สึกว่าปราศจากคุณค่าแม้แต่หุนเดียว
!"
ฮือจินพอได้รับฟัง ถึงกับหวั่นหวาดวิตกแทนฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากมันกลับไปกล่าวคำกระทบกระเทือนต่อผู้โหดแห่งแผ่นดิน
ดังนั้นคากว่าคงต้องประสบเภทภัยแล้ว
จริงดังคาดหมาย สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินมีสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต แต่เพชฌฆาตป่วยไข้กลับกระแอมไอจนร่างกายสั่นสะท้านกล่าวว่า
"ในเมื่อพวกเราชะตาราศีไม่มีคุณค่าราคา ท่านก็ลองทำนายให้กับพวกเรา
เพื่อทดสอบว่าแม่นยำหรือไม่ ?"
บัณฑิตผู้นั้นกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า
"ชะตาชีวิตของทุกท่านมิมีราคา แต่หากต้องการให้เล่าฮุทำนายราศี อย่างน้อยสมควรจ่ายเงินทองพันตำลึง
!"
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ดวงตาเริ่มทอประกายอันชั่วร้ายทารุณ
ฮือจินจับจ้องจนขวัญหนีดีฝ่อ เนื่องจากกังวลในความปลอดภัยของบัณฑิตผู้นั้น
จึงรีบกล่าวสอดว่า
"ถ้าเช่นนั้น เราต้องการทำนายชะตาราศีบ้าง มิทราบว่าต้องจ่ายเงินทองไปเท่าใด
?"
บัณฑิตผู้นั้นปรายตามาทางฮือจิน สีหน้าพลันปรากฏแววตื่นเต้นลิงโลด และกล่าวว่า
"สำหรับท่านบรรพชิต เพียงตอบแทนการทำนายราศีด้วยเงินหนึ่งตำลึง!"
เทวฑูตป้ายสุสานพลันตวาดขึ้นว่า
"เฒ่าบัดซบมีเจตนาแส่หาเรื่องราว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้โทษว่าเราทั้งสี่อำมหิตเกินไปแล้ว"
ฮือจินส่งเสียงอย่างลนลานว่า
"ทุกท่านขออย่าได้สร้างบาปกรรมอีก โอมมณีตัสสะ พระพุทธองค์โปรดเมตตา
"
แต่ทว่าสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินพากันโถมปราด เข้าหาบัณฑิตผู้อาศัยอยู่กลางแผงทำนาย
คราครั้งนี้บุคคลทั้งสี่ถึงกับรวมกำลังกันประทุษร้าย เพชฌฆาตป่วยไข้มิมีท่าทีเรื้อรังด้วยโรคภัยอีก
ฝ่ามือทั้งสองข้างสะบัดก่อเกิดพลังลมอันปั่นป่วน และแฝงไว้ด้วยพิษอันร้ายแรง
พร้อมกับนั้น ป้ายศิลาอันหนักหน่วงได้ถูกกดกระแทกลง ตะปูอันเล็กละเอียดซัดพุ่งจากค้อนเล่มมหึมา
พู่กันคู่กระจายประกายฉวัดเฉวียน ล้วนประเดประดังเข้าใส่คู่ต่อสู้เพียงลำพังทั้งสิ้น
ฮือจินเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ตัวเองมิอาจทัดทานขัดขวาง แต่เนื่องจากมีดวงจิตกรุณา
ทำให้ต้องประนมมือขึ้นสวดมนต์ภาวนาอย่างวุ่นวาย
แลเห็นบัณฑิตผู้นั้นนั่งตระหง่านอยู่กับที่ แต่ประกายตาโชติช่วงดั่งคบเพลิง
บุคลิกเหี้ยมหาญทรงอำนาจ ชายเสื้อข้างซ้ายกวาดฟาดไปรอบกาย ปัดป้องการจู่โจมได้ในคราเดียว
หลังจากนั้นฝ่ามือขวาก็กระแทกออกอย่างฉับไว
เสียงระเบิด โครม โครม โครม โครมพลันดังติดต่อกันสี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินพากันปลิวกระเด็นกลับออกมากระแทกกายลงบนพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหว
และส่งเสียงครวญครางดังระงม รู้สึกว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสมิน้อย
บัณฑิตผู้ทำนายราศีตวาดดังทุ้มหนักว่า
"ไสหัวไปให้หมดสิ้น"
สี่ผู้โหดแห่งแผ่นดินซึ่งเคยอาละวาดอย่างหฤโหดมาจวบชั่วชีวิตในยามนี้ต่างก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้น
ลากฝีเท้าอันโซซัดโซเซหลบหนีจากไปโดยสิ้นเชิง
ฮือจินคล้ายดั่งกับตื่นตะลึงจากความฝันอันเลื่อนลอย คาดคิดมิถึงว่า บัณฑิตผู้ทำนายราศี
อาศัยกระบวนท่าเดียวก็กำราบคู่ต่อสู้อันดุร้ายไปได้สี่คน จึงกล่าวว่า
"ซินแสท่านคงมิเป็นอันตรายกระมัง ?"
ฝ่ายบัณฑิตเพียงยิ้มน้อยๆ กลับกล่าวว่า
"ท่านบรรพชิตเมื่อครู่นี้แสดงเจตจำนงต้องการทำนายโชคชะตา บัดนี้ขอรับทราบอายุวัยของท่าน"
ฮือจินงงงันไปวูบหนึ่ง กล่าวว่า "เรามีอายุยี่สิบปี"
บัณฑิตผู้นั้นเพ่งพินิจเค้าหน้าฮือจินอยู่ครู่ใหญ่ จึงกล่าวว่า
"จากเค้าหน้าของท่าน คงออกบวชตั้งแต่เยาว์วัย และมิเคยพบพานบุพการี
ผ็ให้กำเนิดมาก่อนกระมัง"
ฮือจินมีสีหน้าหดหู่กล่าวว่า
"ซินแสกล่าวได้ถูกต้อง อาตมาเติบใหญ่มาจากสำนักเสียวลิ้มยี่ตลอดชั่วชีวิตมิเคยรับทราบบิดามารดาเป็นใคร
ดังนั้นวันเดือนกับเวลาชาตะของตัวเองยังไม่ล่วงรู้เลย"
บัณฑิตผู้นั้นผงกศีรษะกล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูราศีลักษณะของท่านผู้บรรพชิต และค่อยคำนวณชะตาชีวิตในภาคหน้า"
พลางกวาดสายตาจับจ้องหน้าผากหว่างคิ้ว หางตา และองคาพยพส่วนอื่นๆบนใบหน้าของฮือจิน
เพ่งพิศจนท่วงท่าได้ตื่นตระหนก ประกายตาพลุ่งพล่านสับสน ร้องโพล่งว่า
"ท่านเป็นบุคคลประเภทนั้น ในที่สุดเราโกวง๊วยไฮ้ก็สืบเสาะพบพานได้"
บุรุษถือไม้เชี๊ยะกับผู้ดีดพิณโบราณ ซึ่งเงียบงันตลอดเวลา ต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นลิงโลดกล่าวว่า
"ซือแป๋ หลวงจีนน้อยนี้มีราศีเช่นนั้นจริงๆ ?"
โกวง๊วยไฮ้กล่าวว่า "เราเชื่อมั่นว่ามิได้พินิจผิดพลาดเซียวเอี๋ยวไผ่
(สำนักพเนจร) คราครั้งนี้สามารถฟื้นฟูดำรงสืบไปได้แล้ว
.."
ฮือจินบังเกิดความพิศวงคลางแคลง อย่างใหญ่หลวง กล่าวว่า
"ซินแส ท่านหมายความว่ากระไร ?"
อ้างอิง : นักสู้พเนจร เล่ม 1 แปลโดย น. นพรัตน์ สนพ. เพลินจิตต์ 2511 |