|
เนื้อเรื่องย่อ
:
๑
สวนท้อต้นเพลิงอาฆาต
เดือนสามในแคว้นใต้ ถึงแม้อากาศสะบัดหนาวสะบัดร้อนปรวนแปรมิแน่นอน
แต่เป็นฤดูกาลพันธุ์ไม้ผลิดอกออกผลพร้อมพรั่ง จะย่างกรายไปทิศใดสายตาย่อมได้สัมผัสแต่บุปผาแย้มบาน
โชยกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ
หากเลาะลัดไปเรื่อยๆตามชายฝั่งแม่น้ำเชี่ยงกังเพียงสองคุ้งน้ำ จะพบเห็นสวนแปลงหนึ่งกำลังเจริญงอกงามด้วยมีต้นท้อแตกกิ่งผลิใบเขียวชอุ่ม
ดอกท้อออกช่อเป็นสีแดงระเรื่อ ทั่วเมืองเกียงโพ่วหาชมมิได้เช่นนี้อีกแล้ว
สวนผลไม้กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ย่อมเป็นทัศนียภาพอันสะดุดตาพาใจชื่นบานหรรษาตลอดไป
สวนพฤกษ์แปลงนี้ด้านหนึ่งเลียบฝั่งคงคา อีกด้านหนึ่งจรดถนนสายใหญ่ การคมนาคมสะดวกทั้งทางน้ำทางบก
กลางสวนมีโรงเตี๊ยมโอ่อ่าสำหรับต้อนรับผู้สัญจรผ่านไปมา ซึ่งจะแวะชั่วคราวหรือพักแรมรอดูต้นท้อผลิดอกจนกระทั่งออกผลก็ย่อมสะดวกดาย
โรงเตี๊ยมสวนท้อ "ท้อฮวยกือ" มีชื่อเสียงจนเป็นที่กล่าวขวัญกันติดปาก
ผู้รู้เห็นคนใดเอ่ยถึงก็ให้รำลึกขึ้นได้ทันทีว่า วนอุทยานแห่งนี้มิเพียงตบแต่งสถานที่ได้สวยงามตามธรรมชาติ
หนำซ้ำยังมีชื่อเลื่องลือในฝีมือผลิต สุราท้อมิกโหล่ว ได้กลมกล่อมหอมหวนชวนรับประทาน
เจ้าบ้านผ่านเมือง พ่อค้าวาณิชย์ กวีบัณฑิต กระทั่งมวลหมู่บู๊ลิ้ม และเหล่าโจรต่างตกเป็นลูกค้าของท้อฮวยกือ
ต้อนรับขับสู้มิหวาดไหว เพราะต่างพิสมัยในรสชาติสุรา อันเกินหน้าสุราใดอื่น
จึงพากันมาอุดหนุนคับคั่งก็ด้วยเหตุฉะนี้เอง
โรงเตี๊ยมท้อฮวยกือมีข้อแตกต่างกับโรงเตี๊ยมอื่นๆอยู่ประการหนึ่ง ก็คือสร้างเรือนพักอยู่ในดงท้อเป็นหลังๆไป
คนมีทรัพย์เช่าเหมากันทั้งหลัง ส่วนคนทรัพย์น้อยพักอยู่ในโรงแรม
แต่ภายในจำนวนเรือนพักนับร้อยๆหลัง มีแขกว่าเช่าหมุนเวียนสับหน้ากันเป็นปกติยกเว้นสองหลังที่ตั้งอยู่กลางสวน
ตลอดปีปิดตาย มิเคยเปิดต้อนรับอาคันตุกะเลย ซึ่งก็เป็นที่ผิดสังเกตของผู้เป็นเจ้าจำนำนานแล้ว
หากแต่ยังมิมีใครเคยจับพิรุธอันลึกลับประการนั้นได้
วันนั้น ตอนเที่ยงแดดกำลังแผดจ้า ม้าสองตัวโลดมาบนทางหลวง รวดเร็วราวกับเหาะ
คนนำหน้าเป็นเด็กชายวัยสิบสองสิบสามปี ผิวพรรณหมดจดขาวสะอาดแต่งสีดำไว้หางเปียสะบัดต้านลมหน้าดู
ส่วนคนตามหลังเป็นชายหนุ่มแต่งชุดขาว หน้าตาสง่าคมสัน อายุราวยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปีเป็นอย่างมาก
ม้าของเด็กชายสีแดงเพลิงเป็นพันธุ์อาชาฝีเท้าดี พาหนะของชายหนุ่มสีขาวบริสุทธิ์กลมกลืนกับเครื่องแต่งกาย
จึงเป็นภาพสะดุดสายตามาแต่ไกล
เด็กชายมีกิริยาร่าเริงตลกคะนองมาตลอดทาง ส่วนชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมซึมเซื่องบอกกิริยามีทุกข์สุกอม
อาการของบุคคลทั้งสองผิดแปลกกัน แต่ต่างมีปฏิกิริยาเดินทางเร่งรัดโลดแล่นปานลมพัด
คงจะมีกิจธุระรีบด่วนเป็นแน่แท้
เด็กชายแต่งชุดดำชักม้าแซงขึ้นหน้า พอผ่านมาถึงบริเวณหน้าโรงเตี๊ยมท้อฮวยกือก็กระตุกบังเหียนให้อาชาคู่ชีพชะลอฝีเท้า
รอให้ม้าของชายหนุ่มติดตามขึ้นมาจึงกระซิบบอก
"ตั้วกอ แวะเข้ารับประทานอาหารประทังท้องก่อนจึงเดินทางเป็นไร?"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวขมวดคิ้วนิดๆ
"แวะก็ได้"
เด็กชายแต่งชุดดำยิ้มอย่างแห้งแล้ง กระตุกสายบังเหียนให้ม้าหยุดกึก พลิกตัวกระโดดลงมา
ช่วยจูงสายบังเหียนของชายหนุ่มพร้อมร้องเชื้อเชิญ
"ตั้วกอ ลงมาเถิด"
ชายหนุ่มชุดขาวมีกิริยาท่าทางหงอยเหงาเศร้าซึม ก้าวลงจากหลังม้าอย่างเชื่องช้า
เตี้ยมเสียวยี่ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้สองคนปราดเข้ามาคำนับกล่าวต้อนรับ
"เชิญท่านอาคันตุกะเข้าข้างใน"
พลางเอื้อมมือจะรับสายบังเหียนเพื่อจูงม้าไปเข้าโรง เด็กชายแต่งชุดดำหายอมส่งให้ไม่กลับตะเพิดก้อง
"อย่าได้ยุ่ง ม้าของเราสองตัวดุทั้งคู่ คนแปลกหน้าเข้าใก,อาจโดนมันดีดถึงตาย"
เตี้ยวเสียวยี่ได้ฟังดังนั้นมิได้ถือโกรธ เหลือบตามองดูม้าแว่บหนึ่ง ประจักษ์เป็นม้าท่วงท่าอาชาไนยผิดธรรมดาจริงๆ
ก็หดแขนหัวเราะพูดกลบเกลื่อน
"กระนั้นเชิญท่านอาคันตุกะปฏิบัติการเอาเองตามสะดวกเถิด"
จากศษลาริมทางเข้าไปถึงเรือนพักกินระยะทางหลายสิบวา สองข้างทางมีต้นไม้ปลูกเรียงรายกำลังแย้มบานส่งกลิ่นหอมตลบ
เด็กชายแต่งชุดดำจูงม้าสองตัวเข้าผูกไว้ใต้ต้นท้อ สั่งให้เตี้ยมเสียวยี่คนหนึ่งจัดหญ้าและน้ำมาเลี้ยงม้าแล้วจึงชวนดกันติดตามอีกคนหนึ่งเข้าไปกลางสวน
เตี้ยมเสียวยี่ผู้นำพาชายหนุ่มและเด็กชายเดินย่ำอยู่บนถนนก่ออิฐวนไปวนมาหลายอ้อมจึงเลี้ยวเข้าไปในดงท้ออันแน่นหนา
เด็กชายแต่งชุดดำชักมีอารมณ์หงุดหงิดจึงกระชากเสียงถาม
"ท่านมินำเราตรงไปสู่เรือนพัก พาอ้อมไปอ้อมมาสิ้นเปลืองเวลา มีเจตนาใด?"
เตี้ยมเสียวยี่ตอบนอบน้อม
"หามิได้ เรือนพักชั้นนอกเป็นโรง "รวม" ใช้สำหรับคนทั่วไป
มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจรำคาญใจ มิคู่ควรกับท่านทั้งสองซึ่งเป็นอาคันตุกะทรงศักดิ์"
ความที่แท้ เตี้ยมเสียวยี่พิจารณาชายหนุ่มและเด็กชาย ประจักษ์ว่าแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีมีราคาบุคลิกลักษณะก็สง่า
ม้าพาหนะเป็นอาชาพันธุ์ดีปีเท้าเยี่ยม จึงเกิดความยำเกรง สันนิษฐานคงเป็นบุตรเศรษฐีมีบุญวาสนา
ที่พาวกเข้ามาก็หมายจะจัดเรือนพักอันโอ่อ่าต้อนรับให้สมเกียรติ
เด็กชายแต่งชุดดำหัวเราะอย่างคะนองกล่าวพาทีสุภาพขึ้น
"ขออภัย!"
จากนั้นเตี้ยมเสียวยี่พาบุคคลทั้งสองเข้าไปสู่ในเรือนพักกลางสวนดอกท้อหลังหนึ่ง
บริเวณเรือนพักตกแต่งสวยงาม มีลำธารน้ำใสและภูเขาจำลอง อากาศก็เย็นสบายต้นไม้บังแดดร่มครึ้ม
เด็กชายกับชายหนุ่มเข้าไปแล้ว เตี้ยมเสียวยี่รีบถามตามมรรยาท
"ท่านอาคันตุกะ ต้องการสุราอาหารชนิดไร?"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวซึ่งหน้าเศร้าตลอดเวลา แสดงท่าทางเกียจคร้านที่จะตอบโต้ด้วย
เบือนหน้าไปเสียทางอื่นมิได้ใส่ใจ
เด็กชายแต่งชุดดำตอบอย่างมิได้คิด
"สิ่งไรแก้หิวแก้โหยได้ จงนำเอาสิ่งนั้นมา"
เตี้ยมเสียวยี่สะดุ้งนิดๆ แต่พอนึกถึงมรรยาทรีบยิ้มกลบเกลื่อนกล่าวเสียงอ่อนน้อม
"หามิได้ ท่านอาคันตุกะรอนแรมมาจากทางไกลเป็นธรรมดาย่อมมิอาจทราบว่า
โรงเตี้ยมของพวกเราาขึ้นชื่อลือชาในสิง่ใดบ้าง ข้าพเจ้าจะบอกกล่าวตามความเป็นจริง
สุราท้อมิกโหล่วของเรามีชื่อเสียงเพราะรสหอม
."
เด็กชายแต่งชุดดำคงรำคาญ สะบัดมือขึ้นเสียงกริ้ว
"มิต้องการฟังคำสาธยายรกหู ขึ้นชื่อเป็นสุราอาหารก็นำเอามา อย่าร่ำไร
"
เตี้ยมเสียวยี่หน้าม่อย ถอยกายไปเงียบๆ สักครู่หนึ่งจึงลำเลียงสุราอาหารมาส่งให้
ชายหนุ่มแต่งกายชุดขาวรินสุราใส่ถ้วยเต็มแประ แต่เพียงยกขึ้นแตะริมฝีปากพลันก็วางลงอย่างเดิม
เด็กชายแต่งชุดดำทำทีส่ายหน้า พลางพูดชวนคุยด้วยเพื่อนร่วมทาง
"ตั้วกอเศร้าสลดใจมิเคยสร่างซา ข้าพเจ้าอดห่วงไยมิได้"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวเบือนสายตาไปนอกหน้าต่าง แต่พลันคล้ายดั่งได้พิรุธผิดสังเกตประการใดปานกัน
จึงกล่าวด้วยเสียงเนือยๆ
"โรงเตี้ยมแห่งนี้คงมีบัณฑิตนักกวีมาพักแรม ฟังดูเถิดนั่นเสียงครวญบทกวี
เอ๊ะ ! มีเสียงซอคลอด้วย"
เด็กชายแต่งชุดดำ เงี่ยหูสดับ จริงดั่งว่าในเรือนพักหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ไกล
มีเสียงครวญบทกวีแว่วดังชัดถ้อยชัดคำพร้อมมีเสียงสีซอให้จังหวะ
คิดแปลกใจจึงพูดเปรยๆ
"คงเป็นคนวิกลจริต จึงมีจิตวิตถารดันมาครวญกวีคลอเสียงสีซอ ทำดั่งราวที่นี่เป็นซ่องนางโลมเปิดประกวดกลอนกวี"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวส่ายหน้าช้าๆ ตอบโต้
"เล้งตี๋ เจ้าฟังมิถนัดกระมัง เสียงสีซอแว่วดังมาจากด้านตะวันตก ส่วนเสียงครวญกวีอยู่ทางทิศเหนือ
มิใช่มาจากจากทิศเดียวกัน"
เด็กชายแต่งชุดดำทำหน้าชอบกล พลางพูดดื้อดึง
"ถึงกระนั้นก็เถิด เมื่อมันอยู่ในบริเวณสวนท้อด้วยกัน แท้ที่จริงละเป็นเสียงของผู้ใด
จำข้าพเจ้าต้องไปตรวจดูสักครั้ง"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวห้ามปราม
"เล้งตี๋อย่าอุตริแส่หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัว"
เด็กชายแต่งชุดดำหัวเราะแต่ตอบเสียงอ่อนน้อม
"ข้าพเจ้าเพียงต้องการไปมองดูเท่านั้น มิกล้าก่อเรื่องให้ตั้วกอยุ่งยากลำบากใจอีก"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวมิพอใจ แต่ก็มิได้ตำหนิออกมาเพราะตระหนักห้ามปรามแข็งขันนักพาลจะกลายเป็นการประมาทหมิ่นน้ำใจของเด็กมากเกินไป
เด็กชายแต่งชุดดำลุกขึ้นยืน เอื้อมมือเท้าขอบหน้าต่างเขย่งเท้าททีเดียวก็ปลิวออกไปรวดเร็วดุจดั่งยิงลูกธนู
พริบตานั้นปลาสนาการไปภายในร่มเงาต้นท้อ
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวเหม่อมองกระทั่งร่างของเด็กชายหายวับลับตา จึงถอนใจพึมพำออกมา
"เฮ้อ เจ้าเด็กน้อยหัวดื้อจอมแก่น นี่คงจะก่อเรื่องให้เราต้องรับรำคาญใจอีกแล้ว"
ทันใดบังเกิดเสียงฝีเท้าย่ำกุกกักแว่วดังกระชั้นถี่สืบต่อมาม่านประตูถูกแหวกออก
มีหญิงสาวผู้หนึ่งแต่งชุดเขียวผมเผ้ายุ่งเป็นกระเซิง พรวดพราดเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวสะดุ้ง ใจเพียงดำริจะออกปากยับยั้ง หญิงสาวนางนั้นโบกมือทักท้วงเสียก่อนดวงตาส่อแวววิงวอน
คล้ายกับจะบอกห้ามว่าอย่าเอะอะไป หรือประหนึ่งนางกำลังต้องหลบหนีลี้ภัยใครมาก็ปานกัน
บุรุษหนุ่มสังเกตรู้ในท่าทีนั้นจึงอึ้งอยู่กับที่ และยังมิทันออกปากจะกล่างอย่างไร
ร่างของหญิงสาวแต่งชุดเขียวหลบเข้ามาอยู่เบื้องหลังเสียแล้ว นางนั่งยองๆอาศัยร่างของชายหนุ่มบังเงา
หนำซ้ำดึงชายผ้าคลุมของบุรุษหนุ่มปิดบังร่างของนางไว้ด้วย
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวหงุดหงิดเป็นกำลัง เดิมทีบุคคลผู้นี้เป็นคนมีนิสัยบึ้งตึงเย็นชา
มิชอบเจรจาอยู่แล้ว เห็นหญิงสาวมิกล่าววาจาใดจู่ๆผลุบเข้ามาหลบอยู่เบื้องหลังของตนก็ยิ่งคร้านจะสนใจด้วย
จึงได้แต่ยกถ้วยสุราขึ้นดื่มแก้เหงาต่อไปตามลำพัง
ชายหนุ่มดื่มสุราหมดเพียงถ้วยเดียว ผ้าม่านหน้าห้องถูกแหวกออกอีกครั้งหนึ่ง
ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำอายุอยู่ในราวสามสิบเศษปราดถลันเข้ามา ดวงตาจ้องมองมีประกายแวววาว
ชายหนุ่มชำเลืองหางตามองกวาดเข้าหาอย่างเย็นชา ประจักษ์ชายฉกรรจ์ผู้นั้น
หน้าผากโหนกนูน คิ้วดกตาโต จมูกใหญ่ปากกว้าง ท่าทางดุร้าย การย่องเข้ามาก็แผ่วเบามิมีสุ้มเสียงส่อให้เห็น
ท่าว่าเป็นผู้มีฝีมือพอตัว
ชายฉกรรจ์ทำตาล่อกแล่กเหลียวมองรอบๆห้อง ครั้นแล้วหย่อนก้นนั่งลงยังเก้าอี้ว่างตัวที่ผู้เป็นเด็กชายนั่ง
ถือวิสาสะมิได้ยำเกรงต่อผู้เป็นเจ้าของห้อง
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวชำเลืองหางตานิดๆ มิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ต้อนรับเชื้อเชิญ
เหลือบตามองแว่บเดียวแล้วคงนั่งเฉยเมยด้วยอารมณ์เขร่งขรึมตามเดิมยกถ้วยสุราขึ้นดื่มอึกหนึ่งมิได้ใส่ใจใดๆทั้งสิ้น
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ช่างดื้อด้านด้วยนิสัยประหลาดเอาการ หามีความเกรงอกเกรงใจไม่
จับป้านสุรารินใส่ถ้วยเอาเองแล้วยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย
นานหลายอึดใจบุคคลทั้งสองจึงต่างเงยหน้าขึ้นสบสายตากันอย่างจังครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวหน้าบึ้งตึงเย็นชา ส่วนชายฉกรรจ์สะดุ้งนิดๆ แต่ก็ยังต่างนิ่งเฉยมิมีฝ่ายใด
เปิดปากเจรจาทักทายขึ้นก่อน ทำดั่งราวกับว่าหากผู้ใดเปิดปากขึ้นก่อนบรรยากาศอันตึงเครียด
จะระเบิดทันที
สายลมโบกมาแผ่วเบา หอบพากลิ่นดอกไม้ในสวนให้หอมตลบอบอวลเสียงสีซอกับเสียงครวญกวียังแว่วดังกังวานเสนาะเพราะพริ้งเช่นเดิม
ชายฉกรรจ์ก้มหน้าก้มตารินเหล้าดื่มอั๊กๆโดยมิมีความเกรงใจเจ้าของห้อง ชั่วครู่สุราป้านนั้นก็หมดเกลี้ยง
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวถูมืออยู่ไปมา แต่ยังมิยอมพูดจาตำหนิติฉิน ฝ่ายชายฉกรรจ์ร่ำน้ำสุราหมดเกลี้ยงแล้ว
เอาป้านกระแทกดังปังหัวเราะก้องพูดดังลั่น
"ฮะ ฮะ สุราชนิดนี้รสหอมกลมกล่อม แต่น่าเสียดายหมดเสียแล้ว"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวคีบอาหารใส่ปากคำหนึ่ง เบือนหน้าไปนอกหน้าต่างหาใส่ใจต่อวาจาของชายฉกรรจ์ไม่
ชายฉกรรจ์หัวร่อราวเป็นคนบ้าบ๊องอยู่พักใหญ่ แล้วเอาตะเกียบคีบอาหารรับประทานอย่างมูมมาม
ชั่วแผลบเดียวอาหารสี่จานจะเหลือติดก้นจานสักชิ้นก็มิมี
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวหันหน้ากลับมา ผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้อาคันตุกะผู้บังอาจถอยกลับไปโดยดี
ชายฉกรรจ์กระแอมหนักครั้งหนึ่ง กล่าววาจาค้าน
"เฮอะ มิทันไรจะขับไล่ไสส่งเสียแล้ว"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวพยักหน้า มิยอมตอบโต้ชายฉกรรจ์หัวเราะฮา ฮา พูดอีกว่า
"จะขับไล่เราไปหาใช่ยากไม่ แต่จงเลี้ยงกันให้ได้อิ่มหนำสำราญสักมื้อเดียวก่อน"
หางเสียงของชายฉกรรจ์แสดงว่ารับประทานสุราอาหารหมดแล้วยังมิอิ่ม ต้องการให้บุรุษหนุ่มสั่งมาเลี้ยงอีกจนพอใจจึงยอมผละไป
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวเอือมระอาใจเต็มทน พูดช้าชัด
"มาตรรู้ตัวผิดมรรยาทควรถอยไปเสียโดยดี อีกประเดี๋ยวหนึ่งตี้ตี๋ของเรากลับมาเกรงจะมีเรื่องมิดีมิงาม
ชายฉกรรจ์ย้อนถาม
"มีเรื่องเช่นนี้เชียวหรือ? ก็ดีอยู่ จำเราต้องรอพบตี้ตี๋ของท่านก่อน
ไว้สักครั้งค่อยอำลาไปก็มิสาย"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวจ้องมองคู่สนทนาด้วยแววตามีความโกรธ เปลี่ยนเสียงเฉียบขาด
"ขืนชักช้ามาตรเป็นเหตุให้บาดเจ็บเกิดเคราะห์กรรม อย่าได้ตำหนิว่าเรามิเตือน"
ชายฉกรรจ์สีหน้าเผือดลงเล็กน้อย ชั่ววูบก็กล่าวเยาะเย้ย
"ฮะ ฮะ บังอาจล่อลวงหญิงสาวมาซุกในห้อง นี่คงเจตนาประพฤติผิดประเวณี
มาออกปากขับไสไล่ส่งเราเช่นนี้ คงเกรงเราจะเป็นก้างขวางคอ ดีนักเทียว ได้รู้ความศักดิ์สิทธิ์ของอาญาแผ่นดินกันคราวนี้"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวสะดุ้งเฮือก เหลียวไปทางเบื้องหลังเห็นหญิงสาวเอามือคลำขยุกขยิกทำทีวิงวอน
มิให้เอะอะตึงตัง ก็เอือมระอาใจเป็นอย่างยิ่งรำคาญที่จะโต้แย้งแก้ตัวนั่งเฉย
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเอื้อมแขนคว้าฉกออกไป จับข้อมือของหญิงสาวไว้ได้อย่างแม่นยำ
พลางกระชากออกมายืนประจันหน้า
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวเดิมทีคิดจะขัดขวาง แต่หญิงสาวแต่งชุดเขียวส่งเสียงทักทายชายฉกรรจ์ขึ้นก่อน
"กอกอ
."
ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงร่วนกล่าวติเตียน
"เจ้านี้ซุกซนมิรู้สูงต่ำ ยังมิยอมกลับไปกับเราโดยดีอีกหรือ?"
กล่าวแล้วประสานมือคารวะชายหนุ่มแต่งชุดขาวพูดปนหัวเราะ
"ข้าพเจ้าสองพี่น้องได้รบกวนกงจ๊อไปต้องขออภัยสักครั้ง"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวเพียงโบกมือตอบ มิได้เอ่ยปากเอื้อนคำ คงเป็นเพราะคำนึงถึงเมื่อบุคคลทั้งสองเป็นพี่น้องกันก็มิควรที่ตนจะเกี่ยวข้อง
ในขณะตรึกตรองอย่างงุนงง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพาหญิงสาวแต่งชุดเขียวก้าวพ้นประตูห้องไปเสียแล้ว
ชายหนุมแต่งชุดขาวมองดูภาชนะว่างเปล่าบนโต๊ะแว่บหนึ่ง จิตใจหงุดหงิดเป็นยิ่งนัก
เพราะคาดมิถึงจะพบคนดื้อด้านไร้ยางอายถึงขั้นนี้
เมื่อชายฉกรรจ์กับหญิงสาวสองพี่น้องถอยออกไปไกล ชายหนุ่มแต่งชุดขาวคล้ายดั่งฉุกรำลึกถึงความสำคัญประการหนึ่งอย่างกระทันหัน
รีบเอื้อมมือล้วงลงในถุงย่าม ถึงกับสีหน้าซีดเผือด หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆติดมือขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
พลันใช้สายตาพินิจดูประจักษ์ข้อความเขียนไว้ย่อๆดังนี้
"ข้าพเจ้าสองพี่น้อง สืบทราบท่านนำโอสถวิเศษติดตัวมาชนิดหนึ่ง จึงพยายามติดตามมาสิ้นระยะทางหลายพันลี้
บัดนี้เจตจำนงของพวกข้าพเจ้าบรรลุผลสำเร็จดั่งประสงค์ จึงขอมอบผ้าแพรเป็นเครื่องตอบแทนไว้ผืนหนึ่ง
และขอเตือนด้วยความหวังดี แดนกังโอ๊วเต็มไปด้วยการชิงไหวชิงพริบ คนซื่อต้องตกเป็นเหยื่อของคนฉลาดกว่า
คนโง่ย่อมเอาตัวรอดได้ยาก ท่านทั้งสองจงระมัดระวัง
"
ตอนท้ายมิได้ลงลายมือชื่อ เพียงเขียนเครื่องหมายเป็นตัวนกอินทรีผงาดปีก กับผีเสื้ออยู่ในท่าโผบินอย่างละตัว
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวมองจ้องจนตาค้าง มือที่จับแผ่นกระดาษสั่นระริกจนกระดาษหลุดร่วงไปตั้งแต่เมื่อใดก็มิทราบ
เมื่อได้สติเอื้อมมือตบถุงย่ามก็ประจักษ์จริงดั่งว่า โอสถวิเศษที่ตนนำติดตัวมาอันตรธานเสียแล้ว
ในถุงย่ามมีผ้าแพรสีขาวยัดใส่อยู่ผืนเดียว
หยิบสะบัดคลี่กาง ลักษณะคล้ายผ้าเช็ดหน้ามุมขวาถักผีเสื้อสีเขียวอยู่ในท่ากระพือปีกร่อนบิน
ฝีมือการถักประณีตอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวจ้องมองผ้าแพรผืนนั้นดุจถูกสะกดจิต สีหน้าอันสง่างามผ่องใสค่อยๆเปลี่ยนแปลงเป็นซีดเผือดจนเขียวคล้ำ
ส่อแสดงส่วนลึกของหัวใจบังเกิดความเจ็บแค้นอย่างเหลือระงับ
ถ้อยคำที่ปรากฏในแผ่นกระดาษกลายเป็นคมมีดกรีดเฉือนหัวใจแทบหลุดออกจากขั้ว
ดวงตาของชายหนุ่มแต่งชุดขาว ถลนจนแดงกร่ำขอบตาปริแตกมีเลือดไหลอาบแก้ม
มิทราบผ่านพ้นระยะเวลาไปนานสักเท่าใด จนกระทั่งเด็กชายแต่งชุดดำกลับเข้ามา
เด็กชายแต่งชุดดำส่งเสียงเฮฮาร่าเริงมาตลอดทาง ครั้นเข้ามาใกล้เห็นอาการของชายหนุ่มแต่งชุดขาวพลันสะดุ้งตกใจสุดขีด
อุทานเสียงหลงคำหนึ่ง ก็กระโดดเข้าไปประคอง
การส่งเสียงโวยวายของเด็กชายแต่งชุดดำ สร้างความแตกตื่นแก่โรงเตี้ยมแห่งนั้นในทันที
เตี้ยมเสียวยี่สองคนกรูเข้ามาถามเสียงละล่ำละลัก
"กระไรหรือ ? มีเหตุ
."
พอเห็นชายหนุ่มนั่งตาค้างขอบตามีเลือดแดงฉานไหลนองอาการแข็งทื่อเหมือนคนตาย
ก็ตกใจใหญ่ ตะโกนเสียงลั่น
"มิได้การเสียแล้ว ท่านอาคันตุกะผู้นี้คงถูกกระทำ อย่าได้แตะต้องเป็นอันขาด
ข้าพเจ้าจะไปตามหาหมอ
"
เสียงนั้นขาดหายไปเฉยๆ ร่างนั้นก็หันวิ่งออกไปรวดเร็วราวกับติดปีก
เด็กชายแต่งชุดดำเดือดดาลเป็นฟืนไฟ เหจุไฉนกอกอของตนมาบังเกิดอาการเช่นนี้
ก็แผดเสียงตวาดตามหลังไป
"โรงเตี้ยมของท่านคงวางยาเป็นแน่แท้ เอาเถิดแม้นกอกอของเรามีอันเป็นไป
ต้องเผาโรงเตี้ยมสวนท้อแห่งนี้
."
ปากตะโกนมือสองข้างใช้พลังบีบนวดเคล้าคลึงจุดเส้นทั่วกายของชายหนุ่มอย่างเอาใจใส่
สิ้นเวลานานโขได้ยินชายหนุ่มแต่งชุดขาวถอนใจดังเฮือกลูกนัยน์ตาคู่นั้นจึงกลอกกลิ้งได้
แว่วเสียงแหบแห้ง
"สิ้นแล้ว
.หมดสิ้นกัน
."
เด็กชายแต่งชุดดำเห็นกอกอของตนฟื้นขึ้น ปิติลิงโลดดุจดั่งผลักก้อนศิลาที่ถ่วงอกให้หล่นไป
รีบถามความ
"ตั้วกอ ความที่แท้บังเกิดเหตุการณ์อันใด?"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวก้มหน้าลงเก็บกระดาษขึ้นมาบนโต๊ะ ถอนใจยาวพลางซักถาม
"เล้งตี๋ วันนี้เป็นวันที่เท่าใด?"
เด็กชายแต่งชุดดำนับนิ้วมืออยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ
"เจ็ดค่ำของปักษ์แรก"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวพึมพำเสียงแผ่วดังพอได้ยิน
"ถ้าเร่งรัดเดินทางอย่างเร็วก็แปดค่ำถึงเทือกเขาเจ็งซัว เก้าค่ำถึง
เฮ้อ
! มีเวลาเหลือเพียงสามวัน"
เด็กชายแต่งชุดดำงงงันเหมือนไก่ตาแตก รีบถาม
"ท่านเจรจาคำใดตั้วกอ ? ข้าพเจ้าฟังมิรู้ความ"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวยกชายแขนเสื้อเช็ดหยาดเลือดบนโหนกแก้มและเบ้าตาแล้วก้มลงกระซิบ
"โสมคนอายุหมื่นปีต้นนั้น ถูกโจรกรรมไปเสียแล้ว"
เด็กชายแต่งชุดดำตะลึงงันย้ำเสียงสั่น
"กระไรหรือ ? โสมคนอายุหมื่นปีถูกโจรกรรม "
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวพยักหน้าตอบ
"มิผิด"
เด็กชายแต่งชุดดำถามต่อไป
"มาตร เป็นเช่นนี้ จะสมควรปฏิบัติอย่างไรต่อไป ?"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวใช้ความคิดสักครู่หนึ่งจึงตอบเครียด
"ยังมีเวลาเหลืออยู่สามวัน เอาเถิดมิไยเป็นฟากฟ้าขอบปฐพีก็ต้องติดตามมหาโจร
"
สายตาพิศดูรูปผีเสื้อบนผ้าแพรผืนนั้นแว่บหนึ่งเปลี่ยนน้ำเสียงกล่าว
"เล้งตี๋ เราคิดอุบายได้แล้ว แต่จะได้ผลเพียงไรยังมิอาจทราบในคราวคับขันต้องขอทดลองปฏิบัติดู
."
เด็กชายแต่งชุดดำถามเอาความทันใด
"อุบายเป็นไฉน ตั้วกอควรบอกกล่าวเร็วไว ?"
ชายหนุ่มแต่งชุดขาวจึงอธิบาย
"โสมคนอายุหมื่นปีต้นนั้น เกี่ยวนองถึงความเป็นตายร้ายดีของซือแป๊ะแห่งพวกเราโดยตรง
มาตรมิรีบติดตามเอาคืน ความผิดของพวกเราใหญ่หลวงจะต้องตายสักร้อยครั้งก็ชดใช้หนี้ความผิดพลาดครั้งนี้มิหมด
เด็กชายแต่งชุดดำน้ำตาไหลรินพูดถอนสะอื้น
"หากตั้วกอมีอันเป็นไปถึงตาย ข้าพเจ้าก็มิขอมีชีวิตอยู่"
ชายหนุ่มชุดขาวถอนใจยาว ก้มลงกระซิบที่ข้างหูของเด็กชายหลายคำพลันกู่ร้องเสียงโหยหวนออกมาคำหนึ่ง
ร่างนั้นก็หงายล้มตึงไปพร้อมกับเก้าอี้
เด็กชายแต่งชุดดำส่งเสียงโวยวายขึ้นทันใด
"ตั้วกอ ! ท่านตัดช่องน้อยหนีข้าพเจ้า
.!"
เด็กชายร้องไห้โอรำพันเสียงขาดเป็นห้วงๆ ทั้งตีอกชกตัวแสดงอาการเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เตี้ยมเสียวยี่พาหมอเข้ามาอย่างรีบร้อน เตี้ยมเสียวยี่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กชายถึงกับสะดุ้งเฮือก
ส่งเสียงปลอบเข้ามาตั้งแต่นอกห้อง
"เสียงกงจื๊ออย่าร่ำไห้ มีหมอเอกมาช่วยเหลือแล้ว
.."
อ้างอิง : ฝ่ามือสังหาร เล่ม 1 แปลโดย ช. โชคสัมฤทธิ์ สนพ.เพลินจิตต์ 2509 |