ศึกสายเลือด

ประพัธ์สาส์น 2511
ประพันธ์สาส์น 2520
บรรณาคาร 2542
สร้างสรรค์ 2545
สร้างสรรค์ 2551

ผู้แต่ง : เซียงกัวเตี้ย ผู้แปล : ว. ณ เมืองลุง
จำนวนเล่มจบ : 47 เล่มจบ (เล่มเล็ก) - ประพัธ์สาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2511
จำนวนเล่มจบ : 9 เล่มจบ - ประพันธ์สาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2520
จำนวนเล่มจบ : 6 เล่มจบ - บรรณาคาร - กระดาษปรู๊ฟ - ปกแข็ง - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2542
จำนวนเล่มจบ : 6 เล่มจบ - สร้างสรรค์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2536 (พิพม์ครั้งที่ 1)
จำนวนเล่มจบ : 6 เล่มจบ - สร้างสรรค์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2545 (พิพม์ครั้งที่ 2)
จำนวนเล่มจบ : 6 เล่มจบ - สร้างสรรค์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2551
ข้อมูลเพิ่มเติม :

เนื้อเรื่องย่อ : ขอขอบคุณท่านแหะแหะ ที่เอื้อเฟื้อเนื้อหาบทที่ 1 มาให้

ที่มา: สร้างสรรค์บุ๊คส์ 2545

บทที่ 1
พี่น้องสองอัจฉริยะ

เที่ยงตรง อาทิตย์แผดแสงแรงกล้าอยู่เหนือศีรษะ

ยอดเขาโดดเดี่ยวที่พิเศษพิสดารลูกนั้น ยืนตระหง่านท้าทายเทือกทิวเขารอบข้างอย่างองอาจ กล่าวแล้วก็ประหลาดยิ่ง ยอดเขาลูกนี้ได้ตัดขาดจากขุนเขารอบๆข้างโดยไม่มีลูกใดจะติดต่อถึงมัน และยิ่งไม่อาจที่จะเสาะหาทางจากขุนเขาทางรอบข้างเพื่อจะเดินให้ถึงยอดเขาโดดเดี่ยวลูกนี้ด้วย
มีแต่ทางด้านซ้ายมือเท่านั้น ยอดเขาลูกหนึ่งซึ่งมีสนขึ้นจนหนาแน่นเขียวชอุ่ม มีระยะห่างจากยอดเขาโดดเดี่ยวนี้อยู่เพียงยี่สิบกว่าวา แต่แม้ห่างเพียงยี่สิบกว่าวาทางช่องที่คั่นเขาทั้งสองนั้น เป็นหุบเหวที่ลึกล้ำหลายพันวา ไม่มีทางจะติดต่อไปมากันได้ เบื้องล่างของหุบเหวยังมีเมฆหมอกบางๆลอยปกคลุมไว้ชั่วนาตาปีอีกด้วย
บนปลายสูงสุดของยอดเขาโดดเดี่ยวลูกนั้น เวลานี้มีคนยืนประจันกันอยู่สองคน
ผู้อยู่เบื้องซ้ายเป็นนักพรตชราคิ้วเคราผมเผ้าขาวโพลง ใบหน้าแดงเปล่งปลั่งเน้นกับหนวดเคราที่ขาวราวปุยฝ้าย ยิ่งดูยิ่งคล้ายรูปเซียนผู้วิเศษในภาพวาด ส่วนผู้อยู่เบื้องขวา เป็นหลวงจีนรูปกายสูงใหญ่อ้วนพี อายุน่ากลัวต้องสูงวัยกว่าเจ็ดสิบพรรษาเป็นแน่แท้
หลวงจีนชราสะบัดแขนจีวรที่บางเบาจนพลิ้วไสว น้ำเสียงที่กล่าวก้องกังวานดุจระฆังโบราณ ผนึกแน่นกลางอากาศอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานจึงจางหาย …
"จิวเต้าเจี้ยง นับว่าท่านเก่งกาจที่หาทำเลอันเหมาะสมเยี่ยงนี้ได้ เพียงแต่ที่นี้แม้เป็นจุดอับ ร่องธรรมชาติสายนั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แต่กลับมิได้สร้างความยุ่งยากกับเราหลวงจีนเฒ่าจนสิ้นปัญญา"
นักพรตผมขาวผงกศีรษะกล่าวว่า
"ไต้ซือกล่าวรุนแรงไปแล้ว อาตมาไหนเลยจะกล้าใช้หุบเหวที่กว้างเพียงยี่สิบกว่าวามาสอบฝีมือไต้ซือได้ วิชาตัวเบาของปวยเทียนยูไล (พระยูไลเหินฟ้า) โดดเด่นเป็นเอกในแผ่นดิน คิดดู อาตมาไหนเลยจะกล้าอวดโอ่จนไม่เจียมตัวปานนั้น?"
หลวงจีนชราหัวร่อเฮอะฮะ แล้วกล่าวเสียงก้องกังวานไปอีกครั้ง
"เพียงแต่ว่า จิวเต้าเจี้ยงเลือกสถานที่ได้เยี่ยมยอดเหลือล้ำ ผู้กล้าหาญอันกระเดื่องเลื่องนามทั่วบู๊ลิ้มทั้งแผ่นดิน ปรารถนาใคร่ได้ทราบผลของการประลองฝีมือระหว่างเต้าเจี้ยงกับอาตมา มีเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าพันๆหมื่นๆ ในครานี้น่ากลัวมีแต่ต้องไปจับเจ่าเฝ้ารอตามยอดเขาเตี้ยทางรอบข้างเท่านั้น คิดดูเมื่อกาลครั้งก่อน ทุกคราที่เจ้าสำนักบู๊ตึงคุนลุ้นต่อสู้กัน ต้องเป็นเรื่องสะท้านบู๊ลิ้มทั้งแผ่นดินจนหวั่นไหว แต่พวกเราในคราวนี้ เพียงเชื้อเชิญสายลมกับเดือนตะวันเป็นสักขี เต้าเจี้ยงมิรู้สึกเงียบเหงาเกินไปบ้าง?"
นักพรตชราลูบเคราพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
"หลังจากเมื่อสามสิบปีก่อนที่ไต้ซือไปมีโทสะบนคุนลุ้นเหนือ ขว้างเชาจื้อเม้งที่ถูกยกเป็นอัจฉริยะพิกลของบู๊ลิ้มลงไปตายแล้ว นามของปวยเทียนยูไลก็คล้ายเป็นอาทิตย์ที่สถิตอยู่กลางท้องฟ้า ตามความเห็นอันโง่เขลาของอาตมา น่ากลัวแม้จะให้คุนลุ้นไต้เฮี้ยบ (วีรบุรุษคุนลุ้น) ซือแป๋ท่านฟื้นคืนชีพ น่ากลัวก็ยากยิ่งจะมีพลังฝีมือเทียบเท่ากับไต้ซือในปัจจุบัน ลองคิดดู อาตมาไหนเลยจะกล้าไปพ่ายแพ้แก่ฝีมือไต้ซือต่อหน้าผู้กล้าหาญทั่วทั้งแผ่นดิน ดังนั้น จึงจำต้องเลือกเฟ้นสถานที่เร้นลับนี้ด้วยความจนใจ"
หลวงจีนชราเลิกคิ้วยาวขึ้น กล่าวเสียงกังวาน
"จิวเต้าเจี้ยงไยต้องถ่อมตัวให้เกินไป แสร้งมากล่าววาจาไม่ตรงกับใจจริง สำนักบู๊ตึงหลังจากอยู่ภายใต้การดูแลของจิวเต้าเจี้ยงท่าน รุ่งเรืองจำเริญขึ้นทุกวี่วัน จนมีอิทธิพลอำนาจกระเดื่องบู๊ลิ้ม อย่าว่าแต่เป็นผู้กล้าหาญทั่วแผ่นดินเลย น่ากลัวแม้ตัวเต้าเจี้ยงเองก็ยังต้องนึกอยู่เสมอมาว่า ตัวเองเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของพิภพจบแดนยุคนี้แล้ว?"
นักพรตชราหัวร่อพลางกล่าวว่า
"วาจาไต้ซือนับว่ากล่าวเข้าไปจนถึงก้นบึ้งหัวใจของอาตมาจริงๆ แต่ต้องตำหนิฟ้าที่ได้ให้กำเนิดข้าพเจ้าจิวเจี๊ยะเล้งมาแล้ว ไฉนจึงให้ปวยเทียนยูไลท่านเกิดตามมา? มีปวยเทียนยูไลท่านอยู่ อาตมากล้าบังอาจยกตนเป็นคนที่หนึ่งในแผ่นดินหรือ?"
คารมของหลวงจีนชราแหลมคมดุจเกาทัณฑ์ ได้สวนคำขึ้นในทันที
"เช่นนี้ว่า จิวเต้าเจี้ยงหากแม้นได้ชัยอาตมาไปในครานี้ ก็จะยกตัวเองเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินแล้ว?"
นักพรตชราคาดไม่ถึงว่า หลวงจีนชราจะกล่าวดังนี้ แต่ก็ส่งเสียงกังวานสวนคำขึ้นทันที
"ไต้ซือมิจำเป็นต้องเอาชัยในด้านเล่ห์ลิ้นคารม มิพักกล่าวถึงท่านที่เป็นปวยเทียนยูไลแห่งคุนลุ้น ปุ้กซี้ฮ่อเสียง (หลวงจีนไม่ตาย) แห่งเสียวลิ้ม เปียเสาะเล่านั้ง (เฒ่าหิมะน้ำแข็ง) แห่งเทียนซัว แต่ละคนยิ่งมีอายุยืนยาวยิ่งเข้มแข็งยิ่งคึกคัก แล้วอาตมาจิวเจี๊ยะเล้งจะสามารถปีนป่ายขึ้นไปถึง? กล่าวต่อไปก็ยังมี …"
กล่าวถึงตอนนี้พลันชะงักคำไว้ ใบหน้าปรากฏแววหวั่นไหวขึ้นมา หลวงจีนชราจึงกล่าวสืบต่อให้ว่า
"อาตมาทราบว่า ท่านคิดจะบ่งการบอกถึงผู้ใด …"
นักพรตชราผงกศีรษะเล็กน้อย กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า
"คนผู้นั้น ระหว่างนี้คล้ายดั่งบรรลุถึงขั้นงื่อเกี่ยมปวยซิง (คุมกระบี่โผบิน) …"
หลวงจีนชราไม่อาจข่มกลั้นต่อไปได้แล้ว ถลึงตาตวาดไปว่า
"ท่านหมายถึงตั้งบ้อกง?"
"ใช่แล้ว ตั้งบ้อกงจริงๆ!"
กล่าวถึงตอนนี้กลับทอดถอนใจยาวเสียก่อน จึงเอ่ยสืบไป
"ตั้งบ้อกงในเวลาสามเดือนนี้ ฟาดยอดฝีมือบู๊ลิ้มจนตายไปถึงสิบกว่าคน ใต้คมกระบี่มิเคยไว้ชีวิตผู้ใด ความอำมหิตโหดเหี้ยมของจิตใจ เป็นที่หวั่นหวาดพรั่นพรึงของผู้คนอย่างใหญ่หลวงแล้ว ท่านดูความสูงส่งในพลังฝีมือของคนผู้นี้ นับว่าบรรลุถึงขั้นแตกตื่นสะท้านต่อชาวโลกได้ … วันนี้ … การต่อสู้ของวันนี้ หากแม้นอาตมาพ่ายแพ้ วันหน้ายังหวังให้ไต้ซือพิทักษ์คุณธรรมอันดีงามของบู๊ลิ้ม สนใจสังเกตพฤติการณ์ของตี้ซัวะ (มารพสุธา) ตั้งบ้อกง …"


*********************


      Post Request

 

 

หอสะสมตำรา
หอสะสมตำรา (ว. ณ เมืองลุง)