เพชฌฆาตหน้าหยก

เพลินจิตต์ 2507 (เล็ก)
เพลินจิตต์ 2507 (ใหญ่)
โชคชัยเทเวศน์ 2523
บรรณาคาร 2544
สร้างสรรค์ 2547

ผู้แต่ง : โก้วยู่ฮวง ผู้แปล : ว. ณ เมืองลุง
จำนวนเล่มจบ : 44 เล่มจบ (เล่มเล็ก) - เพลินจิตต์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2507
จำนวนเล่มจบ : 5 เล่มจบ - เพลินจิตต์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2507
จำนวนเล่มจบ : 8 เล่มจบ - ประพันธ์สาส์น - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2520
จำนวนเล่มจบ : 8 เล่มจบ - โชคชัยเทเวศน์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2523
จำนวนเล่มจบ : 5 เล่มจบ - บรรณาคาร - กระดาษปรู๊ฟ - ปกแข็ง - 2544
จำนวนเล่มจบ : 3 เล่มจบ - สร้างสรรค์ - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2547
ข้อมูลเพิ่มเติม :

เนื้อเรื่องย่อ : ขอบคุณท่านแหะแหะ ที่เอื้อเฟื้อเนื้อหาบทที่ 1 มาให้

ตอนที่ 1 มหาภัยจากคัมภีร์ลับ

คิมหันตฤดู ท้องฟ้าเป็นสีครามสดใสไร้ขอบเขต มีแต่เมฆสีขาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่คล้ายดั่งกับเป็นปุยสำลีอันบางเบาลอยคว้างอย่างเกียจคร้านอยู่เบื้องบนยอดเขาอันสูงทมึนนั้น
รอยจูบอันร้อนแรงของดวงอาทิตย์ ที่ลูบไล้ลงอย่างไม่ปราณี ทำให้หมู่ไม้ใบหญ้า ต่างก็ต้องสยบลงด้วยความระทดระทวย ไม่มีแม้แต่ลมเพียงน้อยนิด ดังนั้นเอง แม้กระทั่งสัตว์นานาชนิด ก็ไม่พึงปรารถนาจะปรากฏกายขึ้น โดยต่างหมอบซุกอยู่แต่ภายในถ้ำรังของมัน เพราะมันเป็นวันอันร้อนระอุแห่งคิมหันตฤดูที่แสนทารุณ
ในยามที่ดวงอาทิตย์ได้เคลื่อนคล้อย ไปยังสันเขาของทางทิศตะวันตกโดยจะไปพักผ่อนนั้น ทางขอบฟ้าของด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ก็มีกลุ่มเมฆดำก้อนใหญ่ได้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนบดบังดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงไปหมดสิ้น เบื้องบนท้องฟ้าในยามนั้น เมฆดำอันเป็นกลุ่มก้อนเป็นแผ่นผืนได้พากันพุ่งปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดั่งราวม้าพยศที่ขาดจากบังเหียน พลุ่งพล่านไปจนกระทั่งเต็มท้องฟ้า จนกลับกลายเป็นสีเทาดำอันมืดครึ้มไปแล้ว
อสนีบาตที่แวววับบาดตาได้กรีดผ่านท้องฟ้าไปแล้ว พร้อมกันนั้นก็มีเสียงผ่าลงสะเทือนเลื่อนลั่นก้องแก้วหู จนสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งปฐพีอันกว้างใหญ่
อสนีบาตหนักหน่วงยิ่งนัก แต่พระพิรุณที่กระหน่ำลงยิ่งหนักหนามากไปกว่า เสียงซู่ซ่าครืนครั่นดังอยู่อย่างไม่หยุดยั้งขาดหู เบื้องบนท้องฟ้ามืดครึ้มอย่างหนักอึ้ง เพราะหมู่เมฆได้เกาะเป็นกลุ่มก้อนจนหนาทึบแล้ว
ขุนเขาอันเขียวชอุ่มที่สุดแสนไกล และห้วงลำธารที่เห็นอยู่ในใกล้ไกล ต่างก็เลือนหายไปในท่ามกลางสีขาวมัวสลัวตา ทั่วทั้งปฐพีอันกว้างใหญ่ มีแต่สีขาวนี้เท่านั้น และเงาดำที่ยังพอเห็นอยู่อย่างเลือนราง ก็จะสังเกตออกได้ว่า แห่งใดคือขุนเขา แห่งใดคือแมกไม้
ในยามนั้น ทางเชิงเขาที่สุดแสนไกล ได้มีเงาร่างของคนจำนวนหนึ่ง ได้วิ่งตรงเข้ามาอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มิได้เป็นอุปสรรคขัดข้องไปเพราะสายฝนที่กระหน่ำหนักนี้อยู่เลย
แต่ละคนต่างก็ได้กระโดดโผพุ่งเข้ามา ด้วยความรวดเร็วปานเหินบิน ใช้แต่ปลายเท้าที่สัมผัสพื้นเล็กน้อย ก็โผพุ่งร่างขึ้นอีกได้แล้ว แต่ละครั้งที่กระโดดขี้นลงนั้นต้องไปไกลกว่ายี่สิบเชี๊ยะเสมอ มีแต่คนผู้ซึ่งอยู่ทางเบื้องหน้า และถูกไล่ตามเท่านั้น จึงมีร่างอันโงนเงนไม่มั่นคง คล้ายดั่งกับจะได้รับบาดเจ็บอย่างไรก็ปานกัน แต่ความรวดเร็วของฝีเท้าก็มีอย่างสมบูรณ์อยู่ เพราะได้ทิ้งเอากลุ่มที่รุกไล่ตามหลังมานั้น ออกไปเสียจนไกล ทางกลุ่มคนที่ไล่ตามมานั้น บางครั้งบางทียังส่งเสียงกู่ก้องร้องตะโกนขี้น ซึ่งเสียงเหล่านั้นได้เบาบางลง เพราะพิรุณที่โหมกระหน่ำหนักลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ครั้นแล้ว คนผู้ซึ่งวิ่งอยู่ทางเบื้องหน้าก็ได้ตะลุยมาจนถึงบนพื้นราบอันกว้างขวางบนเชิงเขา และในฉับพลันนั้น ก็เซถลาออกไปอย่างเสียหลักจนร่างก็มิอาจยืนตรงได้อีก คนผู้นั้นทราบแล้วว่า มิอาจจะวิ่งหนีต่อไปได้อีก จำต้องพักผ่อนออมกำลังสักครู่หนึ่งจึงจะได้ ดังนั้น จึงหยุดยั้งทรงกายเอาไว้ เหลียวหน้ากลับไปดูกลุ่มคนผู้ซึ่งไล่ตามอย่างกระชั้นชิด ขมวดคิ้วอย่างแนบแน่นและล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเอาขวดน้อยขึ้นมาใบหนึ่ง เทยาใส่ฝ่ามือหนึ่งเม็ดและโยนเข้าไปในปาก กลืนกินลงไปอย่างรวดเร็ว พลางก็ลอบเดินพลังลมปราณภายใน เพื่อกระตุ้นกำลังให้คืนกลับมาบ้าง
หลังจากระบายลมออกจากปากยาวๆสองครั้งแล้ว ก็ยกมือลูบไล้บนใบหน้าที่ได้มีผมเผ้าซึ่งห้อยย้อยลงมาคลุม เพราะสายฝนอันกระหน่ำหนัก หลังจากเมื่อเสยผมเหล่านั้นขึ้นมาแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าอันหมดจดงดงาม ตาอันมีประกายแวววาม จมูกซึ่งโด่งเป็นสัน ปากที่เม้มอย่างสนิทแน่น มีแต่ใบหน้าเท่านั้นที่ซีดขาวผิดปรกติ แสดงให้เห็นถึงความเย็นชากระด้างอย่างยิ่งนัก ทางปลายคางมีเคราอันสั้นๆอยู่บ้างเพียงเล็กน้อย และบนหน้าผากนั้นมีรอยย่นอยู่ไม่มากนัก กาลเวลาได้เหลือร่องรอยทิ้งไว้บนใบหน้าและร่างกายของคนผู้นี้อยู่บ้างแล้ว
คนผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์ชุดสีดำสนิท และมีเสื้อคลุมภายนอกเป็นสีเขียว เสื้อผ้าได้ขาดไปหลายแห่งแล้ว เผยให้เห็นถึงบาดแผลที่มีอยู่ไม่น้อย โลหิตสดๆที่ไม่รุนแรงนัก ก็ยังคงไหลซึมออกมาทางบาดแผลอย่างไม่หยุดยั้ง เนื่องจากน้ำฝนที่ชโลมล้างอยู่ ทำให้เสื้อผ้าต่างทับติดกับเนื้อจนแนบแน่น
ชายผู้นั้นปลดเสื้อคลุมออกจากร่าง แล้วฉีกเป็นเส้นยาว พันแผลของตนอย่างรวดเร็วแคล่วคล่อง
เงาร่างของคนจำนวนหนึ่ง ได้กระโดดเข้ามาอย่างรวดเร็วจนใกล้มากแล้ว และก็ได้หยุดยั้งเป็นรูปวงกลมล้อมชายผู้นี้เอาไว้อย่างแน่นหนามั่นคง คล้ายดั่งเกรงกลัวว่า จะเสียบปีกบินหนีขึ้นไปจากท้องฟ้าก็ปานกัน
สายฝนแห่งฤดูร้อนมาอย่างรวดเร็ว และก็ขาดเม็ดไปอย่างรวดเร็ว เพียงเวลาชั่วครู่ ฝนซึ่งกระหน่ำหนักก็ได้เริ่มซาไปแล้ว โดยมิใช่กระหน่ำลงมาอย่างเมื่อครู่นี้อีก เม็ดฝนที่หยดหยาดลงเบื้องบนศีรษะของทุกคนได้หยาดย้อยลงมาเป็นเส้นสายตามใบหน้าลงสู่ต้นคอ
คนประดานี้สูงต่ำดำขาว อายุเยาว์เฒ่าชรามีอยู่ครบถ้วน เป็นจำนวนสิบสองคน แต่สายตาของทุกคนนั้น จับจ้องมองแต่ชายกลางคนซึ่งถูกรุมล้อมอยู่อย่างเขม็งนิ่ง
คนผู้ซึ่งถูกล้อมอยู่ กวาดตามองดูคนประดานั้นแวบหนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยวาจาอันส่อความเย้ยหยันว่า
"ฮา ฮา ข้าพเจ้าผู้แซ่ลี นับว่ามีเกียรติเป็นอย่างยิ่งนัก เพิ่งจะส่งมิตรสหายออกไปจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ท่านทั้งหลายก็ตามติดมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเป็นเกียรติอันใหญ่ยิ่ง เฮอะ ท่านผู้นี้คือ บัณฑิตแห่งขุนเขาคงไล้ (คงไล้ซิ้วสือ) ของผู้กล้าแห่งค่ายพายัพ (แจบักซังเฮี้ยง) สามกระบี่แห่งสำนักพ่วงไฮ้ (พ่วงไฮ้ซาเกี่ยม) ก็มาด้วยหรือ อ้อ ยังมีท่านผู้กล้าหาญเก้าปราสาท (เกาเกงไต้เฮียบ) แห่งสำนักฮั้วซัวอันทรงธัมมะที่เปิดเผยกระเดื่องดัง อาคันตุกะกระบี่เมฆคล้อย (ลิวฮุ้งเกี่ยมแคะ) แห่งสำนักบู๊ตึง ท่านผู้นี้คงจะเป็นแจ่หงอไต้ซือแห่งสำนักง่อไบ๊กระมัง ท่านผู้นี้คือ …"
ชายผู้แซ่ลีกวาดตามองแต่ละคน แล้วก็ทักทายขึ้นด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้มต่อไปว่า
"ที่แท้ก็คือ สุดยอดแห่งกระบี่และฝ่ามือของสำนักคงท้งนั่นเอง สิบปีที่มิได้พบ เมื่อเห็นมิตรเก่ายังแข็งแรงเช่นนี้ ก็นับเป็นเรื่องอันน่าปีติยินดีอยู่ เอ๊ะ สี่ผู้ประหลาดแห่งอึ่งฮ้อ (อึ่งฮ้อสี่ไกว่) เหตุไฉนจึงมาแต่เพียงสองท่านเท่านั้นเล่า ?"
ชายผู้แซ่ลีทักทายปราศรัยกับทุกคน ด้วยความสงบเยือกเย็นที่สุด
ชายวัยกลางคนผู้มีร่างผอมเกร็งในอาภรณ์ชุดสีเหลือง กล่าวอย่างยิ้มแย้มไปว่า
"ประเสริฐ กล่าวได้ประเสริฐแล้ว ข้าพเจ้าเมื่อได้เห็นท่านผู้กล้าหาญแซ่ลี มีร่างกายแข็งแรง มีความเป็นอยู่อันสมบูรณ์ ก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง อีกสักครู่ ยังจะต้องขอน้อมรับการแนะนำสั่งสอนจากท่านผู้กล้าหาญบ้าง"
คนผู้นี้ เป็นศิษย์ผู้น้องของเจ้าสำนักคงท้ง มีพลังฝีมืออันยอดเยี่ยมสูงล้ำด้วยเพลงกระบี่ปราบพญามาร (ฮกม่อเกี่ยม) และฝ่ามือปราบพญามาร (ฮกม่อเจี้ย) ทรงเกียรติภูมิอันสูงล้ำอยู่ภายในบู๊ลิ้ม จนได้รับสมญาว่า สุดยอดแห่งฝ่มือและกระบี่ (เจี้ยเกี่ยมซังเจาะ) เมื่อสิบปีก่อน ก็เคยได้เผชิญหน้ากับหัตถ์ทวงวิญญาณ (ขาชิ้วตุยฮุ้ง) ลีเอ็งเกี๊ยก ในแถบเมืองเซียมไซ และก็ได้ท้าทายต่อสู้กัน ในกระบวนเพลงที่สามสิบ ก็ได้พ่ายแพ้ไปหนึ่งท่าเพลง จากนั้น จึงย้อนกลับไปยังสำนักคงท้ง ฝึกปรืออย่างคร่ำเคร่งเป็นเวลาอีกสองปี และเมื่อได้เข้าสู่วงพวกนักเลงอีกครั้ง โดยปรารถนาจะเสาะหาหัตถ์ทวงวิญญาณ (ขาชิ้วตุยฮุ้ง) เพื่อทดสอบกันอีกสักครั้ง แต่ในวงพวกนักเลงทั้งบู๊ลิ้ม ก็สาบสูญร่องรอยของหัตถ์ทวงวิญญาณผู้นี้ไปแล้ว ในครั้งนี้ เมื่อได้ทราบข่าวว่า หัตถ์ทวงวิญญาณกลับมาจากกวงงั้ว (ดินแดนนอกกำแพงใหญ่) จึงรีบรุดมาอย่างเร่งร้อน เพื่อลบล้างความคั่งแค้นและอัปยศที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ส่วนอีกประการหนึ่งนั้น ก็ปรารถนาที่จะได้คัมภีร์ดาวร่วง (เลาะแชปี่กิบ) ซึ่งผู้คนชนชาวบู๊ลิ้มปรารถนาใฝ่ฝันจนน้ำลายสอมาเป็นเวลานาน ดังนั้น จึงได้กล่าวขึ้นอีกว่า
"การที่ข้าพเจ้ามาในครั้งนี้ นอกจากจะขอสำนึกในการประทานของท่านที่ได้ให้ไว้เมื่อกาลก่อนแล้ว ยังเป็นเพราะทราบข่าวว่า ท่านได้รับคัมภีร์ดาวร่วง (เลาะแชปี่กิบ) จึงอยากจะมาเปิดหูเปิดตา ซึ่งคิดว่า ท่านคงมิตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไปบ้างเป็นแน่"
หัตถ์ทวงวิญญาณ (ขาชิ้วตุยฮุ้ง) กล่าวอย่างเยือกเย็นเป็นที่สุดว่า
"การจากไปถึงสิบปีนี้ คิดว่าพลังฝีมืออันสูงล้ำของท่านผู้กล้าหาญคงต้องยอดเยี่ยมไปกว่าเดิมอีกมากมายนัก อีกสักครู่ ข้าพเจ้าก็จะขอน้อมรับทราบอยู่ ส่วนที่ว่าถึงคัมภีร์ลับนั้น ข้าพเจ้าก็มีอยู่เล่มหนึ่งดอก แต่เสียใจเหลือเกิน สำหรับท่านผู้กล้าหาญที่กล่าวมานี้ น่ากลัวมิอาจจะกระทำตามคำสั่งได้ดอก"

ที่มา: สำนักพิมพ์บรรณาคาร ฉบับพิมพ์ใหม่ 2544


      Post Request

 

 

หอสะสมตำรา
หอสะสมตำรา (ว. ณ เมืองลุง)