นางสิงห์คะนองศึก

บรรณาคาร 2531
สร้างสรรค์บุ๊ค 2537

ผู้แต่ง : โป้วอั้งเสาะ ผู้แปล : ว. ณ เมืองลุง
จำนวนเล่มจบ : 3 เล่มจบ - บรรณาคาร - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2531
จำนวนเล่มจบ : 1 เล่มจบ - สร้างสรรค์บุ๊ค - อ้างอิงพิมพ์ปี พ.ศ. 2537
ข้อมูลเพิ่มเติม :

เนื้อเรื่องย่อ :

บทที่ 1
นางสิงห์ตะลุยศึก
---------------------------------

สตรีใช่เป็นผู้อ่อนแอหรือไม่ ?
เนิ่นนานมาแล้ว คนส่วนมากต่างเข้าใจว่าใช่
จวบจนน่ำเก็งเสาะปรากฏขึ้นในยุทธจักรอย่างพิสดาร ผู้คนทั้งหลายจึงรู้สึกความเห็นเช่นนั้นผิดพลาดแล้ว
สตรีมิใช่ผู้อ่อนแอเด็ดขาด !
รูปกายออ้อนแอ้นแน่งน้อย ส่วนสัดคอดโค้งที่รัดรึงใจ ผมดำเป็นประกายยาวสยายประบ่า ใบหน้ากลมเกลี้ยง ผิวละเอียดเป็นนวลใย ตาเรียวเล็กดั่งเดือนดวงใหม่ ยังมีจมูกน้อยๆที่โด่งเป็นสัน ปากน้อยๆที่ริมฝีปากบนเชิดขึ้น…นี่ก็คือน่ำเก็งเสาะ !
นางไม่นับเป็นสตรีที่สวยสะคราญปานหยาดฟ้า แต่นางมีกลิ่นอายของอ่อนช้อยกับดุร้าย
สตรีเช่นดั่งนี้ ความจริงกระตุ้นให้ผู้คนสนใจได้ง่ายดาย
ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มประตูสำนักหมัดมวยไต้อุย ยิ่งกวาดตาพิจารณาดูนางไม่กระพริบพลางถาม
"โกวเนี้ย มีกิจสำคัญอันใด ?"
"หาคน"
"หาผู้ใด ?"
"ฮิ้มป้าที"
"ท่านเป็นผู้ใด ? ถึงกับกล้าเรียกนามยิ่งใหญ่ของประมุขพวกเรา ?"
น่ำเก็งเสาะแค่นหัวร่อไม่ตอบ ชายฉกรรจ์อดมิได้ต้องลังเลแล้ว ยุทธจักรยุคนี้ผู้กล้าเรียกนามฮิ้มป้าทีตรงๆมีอยู่ไม่มาก เอียเท้าเบื้องหน้านางนี้มีความสัมพันธ์ใดกับฮิ้มป้าที ?
ชายฉกรรจ์อดมิได้ต้องถามอีกครั้ง
"ท่านเป็นผู้ใด ?"
น่ำเก็งเสาะเลิกคิ้วเรียวของนางเล็กน้อยถาม
"ท่านไฉนพร่ำพิไรปานนี้ ?"
ชายฉกรรจ์งุนงงวูบจึงตอบ
"โกวเนี้ยย่อมต้องให้นามแก่ข้าพเจ้าเข้าไปรายงานกระมัง ?"
"เฮอะ ไม่ต้องยุ่งยากปานนั้น โกวเนี้ยเรามิใช่ไม่มีเท้า เราเข้าไปเองก็แล้วกัน"
จบคำสืบเท้า หมายจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป
"ช้าไว้"
ชายฉกรรจ์หน้าเครียดทันที เบี่ยงกายเข้าขวางหน้านางไว้ แค่นเสียงเย็นชา
"หากท่านเข้าไปเช่นนี้ แล้วเรานับเป็นกระไร ?"
น่ำเก็งเสาะมองมันพลางกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม
"เจ้าว่าเล่า เจ้าเข้าใจเจ้าเป็นตัวกระไร ?"
ใบหน้าดำคล้ำของชายฉกรรจ์มีเค้าขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย ถลึงจ้องนางพลางแค่นเสียง
"ท่านมาหาเรื่องกระมัง ?"
น่ำเก็งเสาะมิได้สนใจมันอีก พลันพลิ้วตัวควับพุ่งเฉียดผ่านข้างกายมันไปปานกระแสลม !
ชายฉกรรจ์หน้าดำคล้ำต้องตะลึงลาน ท่าร่างที่รวดเร็วปานนี้ มันกระทั่งเห็นยังมิเคยเห็น รอจนเมื่อมันหันกาย ไม่มีร่องรอยน่ำเก็งเสาะอยู่เนิ่นนานแล้ว !
มันรีบพุ่งตัวกลับเข้าไปในบ้าน คว้าไม้รัวใส่ม้าล่อที่แขวนอยู่ข้างประตูอย่างเอาเป็นเอาตายทันที
ผ่าง ! ผ่าง ! ผ่าง !
***********
ฮิ้มป้าทีมิใช่เป็นคนตื่นเช้า แม้ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว มันยังคงหลับใหลอยู่ในความฝัน
โดยเฉพาะเมื่อค่ำวานดื่มมากไปหลายจอก มันตั้งใจนอนให้ถึงเที่ยงวันจึงตื่น กลางคืนดื่มสุรา กลางวันตื่นสาย นี่เป็นนิสัยมันซึ่งมีมาหลายปีแล้ว
แต่ทว่า มันตอนนี้กลับมิอาจไม่ตื่นได้
ตอนมันยืน คล้ายดั่งเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ร่างที่สูงร่วมแปดเชียะ บวกกับวิชาภายนอกระฆังทองคุ้มร่าง ยิ่งบันดาลให้กล้ามเนื้อของมันคล้ายหลอมขึ้นจากเหล็กกล้า
โดยเฉพาะหนวดที่ทั้งดำทั้งขดงอของมัน ดูแล้วกลับคล้ายเป็นหมีตัวใหญ่จริงๆ หมีดุร้ายที่สามารถจับทุกผู้คนกลืนกินลงไปทั้งเป็นได้ !
มันสวมเสื้อแพรสีทองเป็นประกายแวววาวไปพลางถลึงตาที่กลมใหญ่ดั่งกระดิ่งของมัน เขม้นมองเล้งเม้งที่ยืนสำรวมด้วยสีหน้าละอายทางด้านข้าง แผดเสียงแหบห้าวด้วยโทสะ
"เราไม่เข้าใจจริงๆ วิชาฝีมือหลายปีนี้ของเจ้า ฝึกไปไว้ในที่ใดกัน ? กระทั่งสตรีนางเดียวก็สกัดไม่อยู่ เสียทีที่เจ้ายังเป็นศิษย์คนโตที่เราฮิ้มป้าทีภูมิใจได้"
เล้งเม้งก้มศีรษะ มิกล้าแค่นเสียงแม้สักครึ่งคำ มันมีรูปลักษณะที่ไม่ขัดตา องคาพยพบนใบหน้าสมส่วนสัด เสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม สารรูปประหนึ่งเป็นกงจื้อสำรวย
แต่สารรูปของมันตอนนี้ กลับขัดตาเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้ามีรอยเขียวบ้างม่วงบ้างเป็นจ้ำๆ มวยผมยุ่งเหยิง สีหน้าท้อแท้ ประหนึ่งเป็นไก่ชนที่เพิ่งถูกตีพ่ายแพ้ก็ปาน
ฮิ้มป้าทีกลัดกระดุมเสื้อมันต่อหน้ากระจกพลันส่งเสียง
"สตรีนางนั้นมีนามใด ?"
เล้งเม้งตะกุกตะกักตอบ
"ศิษย์ไม่ทราบ นางมิยอมบอก"
เลิกคิ้วดกหนาสีดำของมันจนสูงชัน พยายามข่มกลั้นเพลิงโทสะไว้ ฮิ้มป้าทีส่งเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม
"อย่างน้อยเจ้าสมควรสังเกตออก แนวทางวิทยายุทธ์ของนางกระมัง ?"
เล้งเม้งก้มศีรษะต่ำกว่าเดิม ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาราวปีกแมลงหวี่
"ศิษย์…สังเกตไม่ออก…"
ฮิ้มป้าทีหันขวับมาถลึงจ้องมันอย่างดุดัน แผดเสียงด้วยความเดือดดาล
"บัดซบ ! จนวันนี้เราจึงทราบ ที่แท้เจ้าเป็นสวะตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ถูกคนทุบตีมาพักใหญ่ ถึงกับกระทั่งฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใดยังไม่ทราบ เจ้าไฉนยังมายืนที่นี่ หากเราเป็นเจ้า เราต้องพุ่งศีรษะชนกำแพงตายไปเสียนานแล้ว!"
เล้งเม้งสงบปากคำเงียบงัน
ฮิ้มป้าทีกระแทกส้นเท้า ออกจากห้องนอนมันไปด้วยความเดือดดาล
ยามเมื่อมันเดินออกมาถึงนอกห้องโถงใหญ่ ต้องตะลึงลานไปทันที !
ผู้คนในสำนักฝึกวิทยายุทธ์ ทั้งสูงทั้งต่ำจำนวนร่วมร้อย ถึงกับถูกวางราบไปหมดสิ้น !
มีบ้างนอนแน่นิ่งกับพื้น มีบ้างยกมือกุมศีรษะนั่งยองๆ มีบ้างนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ แม้มีบ้างที่ยังปกติสมบูรณ์ แต่หนีไปยืนอยู่ในระยะห่างไกล ใบหน้ายังมีเค้าแตกตื่นขวัญเสีย ประหนึ่งพบภูตผีปิศาจก็ปาน !
เพลิงโทสะของฮิ้มป้าทียิ่งฮือโหมกว่าเดิม ตากลมใหญ่ถูกเบิ่งจนแทบถลนออกนอกเบ้า แผดสุดเสียง
"ผู้มารังควานสำนักคือเจ้า ?"
น่ำเก็งเสาะที่สวมเสื้อขียวกระโปรงขาว สีหน้าปลอดโปร่งเยือกเย็นจนผู้คนไม่กล้าเชื่อ นางที่เพียงลำพังตัว สามารถวางราบชายฉกรรจ์สูงใหญ่จำนวนมากหลายร่วมร้อย !
น่ำเก็งเสาะหยีตาเรียวเล็กของนางลง สองแก้มมีลักยิ้มที่สวยงามน่าลุ่มหลง ส่งเสียงสดใส
"ใช่ ! เราเอง"
หัวใจฮิ้มป้าทีเต้นถี่เร็ว แต่มันอย่างไรก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จมานานปี แม้มีโทสะเดือดดาลอย่างยิ่งยังคงเป็นคนมีความละเอียดสุขุมจนลึกซึ้ง มันทราบในสถานการณ์เช่นนี้ เพียงอาศัยโทสะไม่มีประโยชน์ใด ยุทธจักรที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นบอกกับมัน ในเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ ความสำคัญที่สุดคือเยือกเย็น !
มีแต่คนเผชิญอันตรายแล้วไม่ว้าวุ่นลนลาน จึงสามารถมีชีวิตรอดได้ยาวนาน
ฮิ้มป้าทีระบายลมจากปากยาวๆ เดินช้าๆลงจากบันได ก้าวช้าๆไปในลานกว้างที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียว จ้องมองน่ำเก็งเสาะด้วยสายตากระด้างเย็นชา ส่งเสียงกระด้างเย็นชา
"ท่านเป็นผู้ใด ? เราคล้ายไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ?"
น่ำเก็งเสาะยังคงมีรอยยิ้มดั่งเดิม เผยอริมฝีปากแดงฉานส่งเสียง
"เราเป็นเพียงเบี้ยไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ไม่มีชาวยุทธ์ใดรู้จักเรามาก่อน มิเพียงท่านเท่านั้น"
สายตาของฮิ้มป้าทีคล้ายเป็นตะปูแหลม ตอกตรึงอยู่บนใบหน้าน่ำเก็งเสาะแนบแน่น กล่าวด้วยสีหน้าคลางแแคลงสงสัย
"อย่างน้อย ท่านสมควรมีชื่อแซ่กระมัง ?"
"น่ำเก็งเสาะ"
ฮิ้มป้าทีกล่าวด้วยสีหน้างุนงงเล็กน้อย
"ท่านเป็นคนของตระกูลน่ำเก็งที่ยิ่งใหญ่ ?"
ทุกคนต่างทราบ ตระกูลน่ำเก็งเป็นตระกูลยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของยุทธจักรทุกยุคสมัย ฮิ้มป้าทีย่อมรู้จักเช่นกัน
แต่น่ำเก็งเสาะกลับเชิดริมฝีปาก แค่นเสียงเย็นชา
"เราเป็นเรา เหตุใดต้องถูกฉุดไปรวมกับตระกูลน่ำเก็ง ? หรือท่านเห็นว่าในพิภพจบแดน มีแต่คนของตระกูลน่ำเก็งจึงสามารถฉีกยี่ห้อสำนักวิทยายุทธ์ไต้อุยของท่านได้ ?"
ฮิ้มป้าทีแค่นหัวร่อสวนคำ
"สามารถฉีกยี่ห้อไต้อุยของเรา ย่อมมิเพียงคนของตระกูลน่ำเก็งเท่านั้น เราเพียงแต่ไม่เข้าใจ ท่านเหตุใดต้องมารังควานสำนักเรา ? เรากับท่านมีความอาฆาตแค้นกันหรือไร ?"
รอยยิ้มของน่ำเก็งเสาะพลันชาค้าง ประกายตากลับกลายเป็นยะเยียบคมวาวราวกระบี่ เน้นทีละคำ
"แค้นกลับไม่มี เพียงแต่ในระหว่างเรา มีบัญชีเก่าที่มิใคร่สบายใจนัก ต้องมาสะสางกันสักครั้ง"
"บัญชีเก่าที่ไม่สบายใจ ?"
ฮิ้มป้าทีทวนคำด้วยสีหน้างุนงงสงสัยกว่าเดิม กะพริบตาถาม
"ในเมื่อพวกเรามิเคยรู้จักกันมาก่อน ไปมีบัญชีเก่าที่ไม่สบายใจจากที่ใดกัน ?"
น่ำเก็งเสาะถลึงจ้องมันด้วยสายตาเย็นชา ตอบช้าๆ
"ในคืนสารทตงชิว (ไหว้พระจันทร์) ของเมื่อสิบสองปีก่อน ท่านยังจำได้ ท่านเคยกระทำเรื่องราวใดหรือไม่ ?"
"สิบสองปีก่อน ?"
ฮิ้มป้าทีทวนคำแล้ว หัวร่อกล่าวต่อ
"เรื่องที่เนิ่นนานปานนั้น เราไหนเลยยังจำได้ ?"
"เฮอะ ! ท่านย่อมไม่ไปจำมัน ในสายตาของบุคคลยิ่งใหญ่เช่นท่าน คณิกานางหนึ่งย่อมไม่นับเป็นกระไรได้ ดังนั้น ท่านใช้กำลังกรอกสุรานาง คุกคามบังคับให้นางร้องเพลง เต้นระบำตั้งแต่กลางคืนจนถึงเช้า และยังมักกำนัลฝ่ามือแก่นางฉาดสองฉาดอยู่เสมอ เรื่องเล็กน้อยนี้ ท่านไหนเลยจำได้ ?"
ฮิ้มป้าทีกลอกตากลมใหญ่ของมันไปมา แล้วกล่าว
"ท่านบอกเช่นนี้เรากลับนึกขึ้นได้แล้ว เคยมีเรื่องเช่นนี้จริงๆ…"
หยุดเล็กน้อย มองนางด้วยสายตาประหลาด สงสัยพลางถาม
"เรื่องนี้เกี่ยวข้องใดกับท่าน ?"
ใบหน้าน่ำเก็งเสาะชาด้านไร้ความรู้สึก เน้นทีละคำ
"เนื่องเพราะเราเป็นบุตรีของคณิกานางนั้น !"
ฮิ้มป้าทีงุนงงวูบแล้วแหงนหน้าตะเบ็งเสียงหัวร่อสนั่นหวั่นไหว
รอจนเสียงหัวร่อของมันเงียบลง น่ำเก็งเสาะกล่าวช้าๆ
"ท่านรู้สึกขบขันมากหรือไร ?"
ฮิ้มป้าทีระบายลมออกจากปากยาวๆ ชายตามองนางด้วยสีหน้าเย้ยหยันดูแคลนพลางตอบ
"เราเข้าใจ เจ้าเป็นผู้ใดของตระกูลน่ำเก็ง ที่แท้เป็นเพียงบุตรีของโสเภณีเท่านั้น หรือเรื่องเช่นนี้ไม่น่าหัวร่อ ?"
มันสืบเท้ามาก้าวใหญ่ กล่าวต่อไป
"นั่นนับเป็นความหลังที่ผู้คนนึกขึ้นแล้วไม่สบายใจจริงๆ ตั้วเอี๊ยเราทุ่มเทเงินทอง แต่โสเภณีนางนั้นกลับอิดเอื้อนมารยาไม่ประจบเอาใจเรา เราย่อมกำนัลฝ่ามือแก่นางไปสองฉาด หรือจะให้เรากำนัลทองคำแก่นางสองแท่งได้ ?"
ริมฝีปากน่ำเก็งเสาะกระตุกเบาๆ แค่นเสียงเย็นชา
"วันนี้เราก็จะให้ท่านชดใช้ คุณค่าของสองฝ่ามือเมื่อครากระโน้น !"
ฮิ้มป้าทีแค่นหัวร่อสวนคำ
"มาเถิด หากเจ้าเป็นคนของตระกูลน่ำเก็ง เราไม่แน่ยังจะกลัวเจ้าอยู่สามส่วน เสียดายที่เจ้าเป็นเพียงบุตรีของโสเภณี เจ้าสามารถทำอย่างไรกับเราได้ หรือคิดจะเปลื้องเสื้อผ้าของเราจนเปลือยเปล่าให้ขึ้นเตียงกับเจ้า ?"
ใบหน้าน่ำเก็งเสาะอำมหิตทันที ดวงตายิ่งมีประกายอำมหิตต้องการปลิดชีวิตอย่างรุนแรง ร่างอ้อนแอ้นแน่งน้อยของนาง พลันทะยานขึ้นไปในอากาศปานพลุไฟ !
รูปกายที่สูงใหญ่ของฮิ้มป้าที ดูไปคล้ายเป็นหมีที่ดุร้ายอย่างแท้จริง แต่ประสบการณ์นานปีในยุทธจักร นับว่าเคี่ยวกรำมันจนกลอกกลิ้งยิ่งกว่าจิ้งจอกแล้ว
มันที่จริงรู้ตั้งแต่แรก น่ำเก็งเสาะต้องมิใช่เป็นตะเกียงขาดน้ำมัน มิเช่นนั้นไหนเลยสามารถวางราบผู้คนในสำนักไต้อุยของมันไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่มีจำนวนมากกว่านางร่วมหนึ่งร้อยคน !
ดังนั้น มันจึงไม่มีความรู้สึกหยามดูแคลนศัตรูโดยเด็ดขาด มันที่จริงพยายามกระตุ้นโทสะฝ่ายตรงข้ามให้เดือดดาลจนหน้ามืดตาลายเท่านั้น
ประสบการณ์บอกแก่มัน ศัตรูที่ถูกกระตุ้นจนเดือดดาลทะยานใจ หน้ามืดตาลายนั้น แม้ตอนลงมือจะโหดเหี้ยมจะหนักหน่วงปานใด แต่ต้องว้าวุ่นด้วยเพลิงโทสะ ที่ฮือโหมกระตุ้นอย่างแน่นอน
มิว่าอย่างไร คนเมื่อบันดาลโทสะ ปกติมักจะสูญเสียสัมปชัญญะ และคนที่สูญเสียสัมปชัญญะ ไปประมือต่อสู้กับผู้อื่น จะมากจะน้อยต้องปรากฏจุดอ่อนช่องว่างขึ้นอย่างง่ายดาย
น่ำเก็งเสาะตอนนี้ กำลังลงมือในยามบันดาลโทสะถึงขีดสุดอยู่ นางย่อมไม่อาจสะกดกลั้น คำเหยียดหยามประณามด่าของฮิ้มป้าทีได้ นางคล้ายเป็นเกาทัณฑ์หลุดจากแหล่ง พุ่งเข้าใส่ฮิ้มป้าทีด้วยความเร็วสุดเปรียบประมาณ !
ร่างกลางอากาศที่คล้ายสายฟ้าของน่ำเก็งเสาะกางนิ้วทั้งห้า ตะปบเข้าใส่ใบหน้าฮิ้มป้าที
ฮิ้มป้าทีใจสะท้านจนหน้าเปลี่ยนสีโดยมิอาจสะกดกลั้น มันเป็นคนที่รู้จักสินค้า ดูออกว่ากระบวนท่านี้ของนาง ทางผิวเผินคล้ายธรรมดาหาความพิสดารมิได้ แต่ที่จริงคือสิบแปดกระบวนท่าคว้ามหากาฬที่อำมหิตเลือดเย็นที่สุด
สิบแปดกระบวนท่าคว้ามหากาฬ เป็นสุดยอดวิทยายุทธ์ของสำนักชั้นต่ำทราม พลิกแพลงแปรเปลี่ยนสุดพิสดาร จงใจลงมือต่อส่วนสัดสำคัญ ที่ถึงแก่ชีวิตของผู้คนเท่านั้น
วิทยายุทธ์นี้แม้โหดเหี้ยมเลือดเย็น ทั้งยังมีอานุภาพจู่โจมที่กราดเกรี้ยวดุดันไม่น้อย แต่ชาวยุทธ์ทั่วๆไปกลับมิใคร่ยินดีฝึกนัก เนื่องเพราะมันล้วนเป็นกระบวนท่าชั้นต่ำที่ถูกผู้คนเหยียดหยามดูแคลน !
นึกมิถึง สตรีที่สวยงามเช่นน่ำเก็งเสาะถึงกับมาฝึกวิทยายุทธ์วิชานี้ และดูไปยังฝึกได้ยอดเยี่ยมมิใช่น้อยด้วย !
พริบตานั้น ศีรษะที่โตใหญ่กว่าคนธรรมดาของฮิ้มป้าที ถูกครอบคลุมอยู่ในเงาฝ่ามือของน่ำเก็งเสาะไปหมดสิ้น
ฮิ้มป้าทีสูดลมหายใจลึกๆ โดยไม่ว้าวุ่นลนลาน ฝ่ามือโตใหญ่ดั่งพัดใบลานของมันตะปบเข้าใส่ข้อมือขาวผ่องของน่ำเก็งเสาะปานสายฟ้า แต่มันใช้เพียงครึ่งกระบวนท่า กลับต้องรีบเร่งถีบเท้าถอยหลังสุดแรง !
เนื่องเพราะมันพบเห็น รองเท้าต่วนสีชมพูของน่ำเก็งเสาะถึงกับเตะเข้าใส่หว่างขาของมันแล้ว !
รองเท้าต่วนสีชมพูที่ปักลวดลายไว้สวยงาม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในแสงอาทิตย์ลูบไล้ ยิ่งเป็นประกายให้รู้สึกสบายตา แต่หากมันเตะใส่หว่างขาของบุรุษเพศ น่ากลัวทุกผู้คนต่างไม่ว่ามันสวยงามอีกแล้ว นับว่าน่าสะพรึงกลัว จนผู้คนต้องขนลุกเกรียวเสียมากกว่า !
ในยุทธจักร น่ากลัวไม่มีผู้ใดมิรู้จักฮิ้มป้าที โดยเฉพาะวิชากำลังภายนอกระฆังคุ้มร่างที่มันฝึก โดดเด่นเป็นเอกในแผ่นดินมานานปีแล้ว !
**********
ตามเหตุผล ฮิ้มป้าทีจะรับเท้านี้ของน่ำเก็งเสาะไว้มิใช่เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างไร แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า มันยังพบเห็น ใต้รองเท้าต่วนปักสวยงามของน่ำเก็งเสาะ ยังมีปลายมีดคมประกายแวววาวโผล่ออกมาอีกท่อนหนึ่ง !
ฮิ้มป้าทีย่อมทราบ ปลายมีดแหลมคมใต้รองเท้าย่อมฉาบยาพิษ ที่เพียงสะกิดโลหิตไหลต้องขาดใจตายอยู่ มิว่าสัมผัสถูกส่วนสัดใดของร่าง ย่อมต้องตายไปโดยแน่นอนเด็ดขาด !
ดังนั้น มันนอกจากถอย ไม่มีทางอื่นให้เลือกเฟ้น !
ร่างของมันแม้ทั้งสูงทั้งใหญ่ แต่ท่าร่างกลับแคล่วคล่องดั่งมังกรคะนองน้ำ พลันพุ่งควับดั่งพลุไฟ โฉบปราดขึ้นไปบนสันหลังคาราวอินทรีมหึมา ในช่วงเวลานั้นมันชักดาบทองสันหนาที่เอวออกมาด้วยความรวดเร็ว
พอดาบอยู่ในมือ ได้ให้ความมั่นใจแก่มันถึงสิบส่วนเต็มๆ นานปีมานี้ ฮิ้มป้าทีอาศัยดาบทองสันหนาเล่มนี้สร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิจนกระเดื่องเกรียงไกร มิทราบพิชิตศัตรูกล้าแข็งพ่ายแพ้ไปมากน้อยปานใดแล้ว
ที่เสียใจคือ ครั้งนี้มันมิได้พิชิตน่ำเก็งเสาะล่าถอย !
มันแม้ทุ่มเทกำลังความสามารถหมดสิ้น ใช้วิชาดาบพันฟ้าผ่าพสุธา ที่สร้างชื่อเสียงแก่มันทั้งสี่สิบเก้ากระบวนท่า กระหน่ำจู่โจมใส่น่ำเก็งเสาะ ด้วยอานุภาพคล้ายพยัคฆ์ร้ายโถมเข้าขย้ำแกะ แต่กระทั่งชายเสื้อของนางก็ยังสัมผัสไม่ถูกเลย !
ที่บันดาลให้มันแตกตื่นขวัญเสียคือ น่ำเก็งเสาะพัวพันอยู่รอบข้างมันดั่งเป็นวิญญาณร้าย มันพบเห็นวิทยายุทธ์ของนางสับสนจนซับซ้อน มิเพียงกระบวนท่าของสำนักชั้นต่ำที่นางเชี่ยวชาญเท่านั้น กระทั่งวิชามือเปล่าชิงอาวุธอันเลอเลิศสูงสุดของยุทธจักร นางยังฝึกได้ถึงระดับแตกฉานชำนาญอีกด้วย !
มันไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่แล้ว !
จริงดั่งคาด มันรู้สึกชาวูบที่ข้อมือ กระทั่งยังมิทันเห็นชัดเจน น่ำเก็งเสาะใช้กระบวนท่าใด ถึงกับชิงดาบทองสันหนาไปจากมือของมันได้ !
มันปากอ้าตาเหลือกค้าง ยืนตะลึงลานอยู่บนหลังคาดั่งถูกเวทย์มนตร์คาถา !
มิเพียงมันเท่านั้น ศิษย์ของสำนักวิทยายุทธ์ไต้อุยที่ยืนดูการต่อสู้ในลานตึกต่างแน่วนิ่งดั่งรูปสลักจากตอไม้ ไม่อาจส่งเสียงได้แม้สักคำเดียว !
น่ำเก็งเสาะกวัดแกว่งดาบทองในมือ จุ๊ปากส่งเสียง
"ดาบ…นับเป็นดาบดีเยี่ยมจริงๆ เสียดายที่เจ้าของมันสวะเกินไป ไม่คู่ควรมาใช้ดาบเช่นนี้ !"
จบคำหักเบาๆ ดาบทองสันหนาถึงกับถูกนางหักเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย !
ดาบอยู่คนอยู่ ดาบหายคนตาย นี่คือสัจธรรมของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ เทิดทูนชาวยุทธ์ที่สูญเสียดาบคู่ชีวิตเฉกเช่นกับพยัคฆ์ร้ายถูกถอนเขี้ยวถอนเล็บ กระทั่งยังไม่ทัดเทียมกับแมวสักตัวเลย !
ฮิ้มป้าทีย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ จึงได้ยินมันคำราม
"น่ำเก็งเสาะ เจ้าฆ่าเราเถิด"
ริมฝีปากน่ำเก็งเสาะมีรอยยิ้มที่ทั้งสวยงาม ทั้งเย้ยหยัน ทั้งดูแคลน ชายตามองหน้ามันพลางแค่นเสียง
"ฮิ้มป้าที เจ้าได้ตายไปแล้ว เราเหตุใดยังต้องฆ่าเจ้า ?"
เป็นความจริง สภาพเช่นนี้สำหรับกับฮิ้มป้าทีมีชีวิตยังเจ็บช้ำทรมานยิ่งกว่าตายไปเสียอีก !
จวบจนบัดนี้ มันยังไม่กล้าเชื่อนัก มันที่อาละวาดในยุทธจักรมาหลายสิบปีอย่างโอ่อ่าภาคภูมิ มีชื่อเสียงเกริกก้องเกรียงไกร ถึงกับมาพ่ายแพ้ต่อฝีมือสตรีที่ไม่มีชื่อเสียง…แพ้จนน่าอนาถถึงปานนี้ได้ !
คุณค่าของการพ่ายแพ้ ปกติสูงสุดอยู่เสมอมา อาทิเช่นกับชื่อเสียง เกียรติภูมิ ฐานะ ฮึกเหิม จิตใจล้วนแล้วถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักหน่วงรุนแรงเป็นที่สุด !
แต่ละคนต่างต้องเคยมีประสบการณ์ของความพ่ายแพ้ ผู้ที่พ่ายแพ้พอจะเริ่มต้นใหม่ ดังนั้นจึงมีคนว่า 'พ่ายแพ้คืออาจารย์ของความสำเร็จ'
แต่สำหรับฮิ้มป้าที พ่ายแพ้ก็คือตายไป !
เนื่องเพราะมันเป็นคนมีวัยสูงกว่าห้าสิบปีแล้ว คนอายุห้าสิบมินับว่าแก่ชรา แต่สำหรับกับคนฝึกวิทยายุทธ์ได้ขึ้นสู่ระดับมีแต่ถอยหลัง โดยไม่รุดหน้าอย่างแน่ชัดแล้ว
มิว่าอย่างไร ฮิ้มป้าทีต้องไม่มีโอกาสเริ่มต้นฝึกวิทยายุทธ์ใหม่ เช่นเดียวกับบุรุษหนุ่มเยาว์วัยเหล่านั้นอย่างแน่นอน
มันย่อมยังพอจะรักษาชีวิตต่อไปได้ เพียงแต่มันต้องสูญเสียเกียรติภูมิที่มันเพียรสร้างมาในชั่วชีวิตหลายสิบปีของมัน และมันยังต้องผ่านวันเวลา ที่ทนอยู่ในความทุกข์ทรมาน ผ่านวันเวลาที่มืดมนอนธการ ผ่านวันเวลาที่ว้าเหว่เงียบเหงาราวคนชรา !
ภรรยาของมันตายจากมันไปนานปีแล้ว โดยมิได้ทิ้งบุตรธิดาไว้ให้แก่มันแม้สักคน แล้วมันยังมีกระไรต้องรักอาลัยอีก ?
ทันใดนั้น ฮิ้มป้าทีแผดหัวร่อปานคลุ้มคลั่ง โถมเข้าใส่น่ำเก็งเสาะคล้ายพยัคฆ์ร้าย !
น่ำเก็งเสาะคล้ายนึกมิถึง ฮิ้มป้าทีจะมีไม้ตายนี้อีก นางต้องงุนงงไปวูบ แล้วรีบสะบัดดาบหักครึ่งท่อนในมือฟันเข้าใส่ฮิ้มป้าทีที่โถมเข้ามา…
ฮิ้มป้าทีมิได้หลบหลีก ความเป็นจริง มันตั้งใจโถมเข้าใส่ดาบหัก ที่จำเดิมเป็นของมันอยู่แล้ว !
มันเห็นชัดเจน ดาบหักครึ่งท่อนของมันฟันเข้าใส่ทรวงอกที่หนั่นหนา มันยังเห็นโลหิตสีแดงฉานบาดตาพุ่งขึ้นอากาศเป็นลำยาวราวเกาทัณฑ์ !
โลหิต…พุ่งขึ้นสูงอย่างยิ่ง งามอย่างยิ่ง !
ฮิ้มป้าทียังคงแผดหัวร่อ มันพบเห็น ที่แท้ความตายมิใช่เป็นเรื่องยุ่งยากอย่างไร มันพลันรู้สึกตัวเบา ที่แท้ความตายไม่น่ากลัวเลย !
ตาเรียวเล็กของน่ำเก็งเสาะเบิ่งจนกลมกว้าง คล้ายเพิ่งเห็น สภาพการฆ่าคนที่น่าสยดสยองเป็นครั้งแรก ถึงกับตะลึงลานโดยมิทราบควรทำอย่างไร ?!
ในที่สุด น่ำเก็งเสาะกลืนน้ำลายอึกใหญ่แล้ว ส่งเสียงสั่นสะท้าน
"เรา…ไม่คิดจะฆ่าเจ้า…เจ้าเหตุใดต้องตายด้วย !"
ฮิ้มป้าทีถลึงตากลมใหญ่ของมัน จนถลนออกนอกเบ้า ร่างสูงใหญ่ถูกโลหิตสีแดงฉานชโลมจนชุ่มโชก แต่มันยังคงแผดหัวร่อส่งเสียง
"เนื่องเพราะเราเป็นผู้กล้าหาญ มีแต่ผู้กล้าหาญจึงไม่กลัวตาย…"
ฮิ้มป้าทีใช่ผู้กล้าหาญหรือไม่ น่ำเก็งเสาะไม่ทราบ นางเพียงทราบ มันเมื่อสิบปีก่อน เคยเหยียดหยามมารดาที่ชะตาชีวิตอาภัพอัปภาคย์ของนาง
ที่นางมาวันนี้ เพียงต้องการสั่งสอนมันให้สำนึกเท่านั้น นึกมิถึงจะก่อกวนจนเป็นการฆาตกรรมไปได้
เมื่อนางข่มสติจนเยือกเย็นลงแล้ว จึงส่งเสียง
"ฮิ้มป้าที ในเมื่อเจ้าคิดจะอวดกล้าหาที่ตายเอง ไม่อาจตำหนิเราน่ำเก็งเสาะมีฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิตได้"
ร่างสูงใหญ่ของฮิ้มป้าทีส่ายโงนเงน ไอแรงๆหลายครั้งจนมีโลหิตทะลักออกมาเต็มปาก ส่งเสียงกระท่อนกระแท่น
"น่ำ…น่ำเก็งเสาะ…เราตายแล้ว…เจ้าต้องไม่อาจอยู่โดยสุขสบายได้…"
จบคำ ร่างสูงใหญ่ปานภูเขาของมันพลันล้มโครม กลิ้งหลุนๆจากหลังคาลงไปในลานตึกกว้าง !
ศิษย์ที่อยู่ในลานตึก พากันคุกเข่าร่ำไห้อยู่เนิ่นนานแล้ว เล้งเม้งเงยหน้ามองน่ำเก็งเสาะที่อยู่บนหลังคาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำราม
"น่ำเก็งเสาะ ความแค้นของการฆ่าอาจารย์ เล้งเม้งจารึกไว้ในใจไม่ลืมได้"
น่ำเก็งเสาะสีหน้าเฉื่อยเฉยเย็นชา เหลือบมองดูมันแวบหนึ่งแล้ว บิดเอว ถีบเท้า ร่างอ้อนแอ้นพุ่งวาบหายลับไปในแสงอาทิตย์เจิดจ้า !
ฮิ้มป้าทีตายแล้ว เฉกเช่นกับคนตายทั้งหลายในแผ่นดิน ผู้คนจะลืมมันไปในเวลารวดเร็วยิ่ง
แต่ทว่า ผู้คนกลับยากจะลืมน่ำเก็งเสาะ !
อาศัยกำลังเพียงลำพังตัว จะทลายสำนักฝึกวิทยายุทธ์ไต้อุยที่มีชื่อกระเดื่องเลื่องแผ่นดิน ที่จริงมิใช่เป็นเรื่องง่ายดายเลย กล่าวอย่างไม่เกรงใจ ทอดตาทั่วแผ่นดินยุคนี้ นับว่ายากจะหาได้สักกี่คนจริงๆ
ผู้คนต่างนึกมิถึง คนที่กระทำเรื่องเช่นนี้ได้ถึงกับเป็นอิสตรีที่เพิ่งออกสู่ยุทธจักร ไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีกด้วย
ดังนั้น ชั่วเวลาเพียงคืนเดียว 'น่ำเก็งเสาะ' จึงเป็นบุคคลที่ชาวยุทธ์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ ถกเถียงกันด้วยความสนใจ
ในที่สุด น่ำเก็งเสาะพบเห็น ที่จริงคนมีชื่อเสียงมิใช่เป็นเรื่องน่าอิ่มเอิบยินดี โดยเฉพาะสตรีที่มีชื่อเสียง !
**********
วันนี้ที่จริงควรเป็นวันมีอากาศร้อนระอุ โชคดีหลังเที่ยงมีฝนห่าใหญ่โหมกระหน่ำมา ดังนั้น ตอนพลบค่ำจึงรู้สึกเย็นสบายผิดธรรมดา
น่ำเก็งเสาะเป็นเช่นดั่งก่อนๆ มักนั่งรับทานอาหารอยู่ในโต๊ะมุมห้องของชั้นล่างโรงเตี๊ยม
นางแม้มิใช่เป็นชาวยุทธ์คร่ำโลก แต่นางได้รับถ่ายทอดจากอาจารย์ของนางมาจนสิ้นเชิงอยู่นานแล้ว ในวิชาทั้งมวล ย่อมรวมประสบการณ์ยุทธจักร ที่มีคุณค่ามหาศาลอยู่ด้วย
ดังนั้น ที่ซึ่งนางเลือกนั่ง พอดีสามารถเห็นคนเข้าๆ ออกๆ ของโรงเตี๊ยมนี้ชัดเจน
อาจบางทีเพราะทำเล อาจบางทีเพราะยี่ห้อเก่า อาจบางทีเพราะตกแต่งไว้วิจิตรพิสดารน่าชม อาจบางทีผู้รับใช้มีทีท่านอบน้อมเอาใจ อาจบางทีฝีมือคนครัวยอดเยี่ยม…สรุปแล้ว โรงเตี๊ยมตังฮวงที่นางพักในตอนนี้มิเพียงเป็นอันดับหนึ่งของเมืองนี้เท่านั้น ยังเป็นโรงเตี๊ยมที่รู้จักทั่วไปทั้งเจ็ดมณฑลภาคใต้ หกมณฑลภาคเหนือด้วย
โรงเตี๊ยมที่มีชื่อกระเดื่องเกรียงไกร การค้าย่อมคึกคักจอแจเป็นพิเศษ หากการค้าไม่ดี ชื่อเสียงจะกระเดื่องดังได้อย่างไร ?
เฉกเช่นชาวยุทธ์ที่มีชื่อเสียงเกรียงไกร ย่อมต้องมีวิทยายุทธ์ที่สูงเยี่ยมเหนือธรรมดา
ตอนนี้ มิว่าเป็นชั้นบนหรือชั้นล่าง ทั้งโรงเตี๊ยมตังฮวงมีคนนั่งอยู่แออัดคับคั่ง แต่ผู้คนยังทะลักเข้ามาไม่ขาดสาย ปานระลอกคลื่นในทะเลใหญ่
ผู้รับใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาหาน่ำเก็งเสาะ กล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม
"โกวเนี้ย ท่านใช่พอจะกรุณาให้ความสะดวกให้ลูกค้าของพวกเรา ได้นั่งร่วมโต๊ะกับท่านสักคน ?"
นิสัยโดดเดี่ยวลำพังมานานปี น่ำเก็งเสาะจึงไม่ชอบร่วมรับทานอาหารกับคนแปลกหน้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่จริงคิดจะปฏิเสธไป แต่เมื่อเห็นทีท่าผู้รับใช้นอบน้อมจริงใจปานนั้น ดวงตายังมีประกายวิงวอน จึงจำต้องผงกศีรษะด้วยความอึดอัด
ผู้มาร่วมโต๊ะเป็นชายฉกรรจ์ มิเพียงสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์สมร่างเท่านั้น ยังพิถีพิถันอย่างยิ่ง กระทั่งเค้าหน้ายังหล่อเหลาคมคาย ดูไปคล้ายเป็นบุตรหลานของตะกูลใหญ่
แต่มันไม่มีทีท่าฟุ้งเฟ้อสำรวยของบุตรหลานตระกูลใหญ่เลย ตรงกันข้าม กลับมีความหนักแน่นเยือกเย็นเติบใหญ่สมบูรณ์จนคร่ำโลกด้วย
"ขอบคุณท่าน โกวเนี้ย"
ชายฉกรรจ์เมื่อนั่งลงแล้ว ทักทายต่อน่ำเก็งเสาะด้วยมารยาทนอบน้อมสำรวม
น่ำเก็งเสาะเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
ความจริงนางรับทานใกล้อิ่มหนำแล้ว นางไม่คุ้นเคยร่วมรับทานอาหารโต๊ะเดียวกับคนแปลกหน้าจริงๆ โดยเฉพาะบุรุษที่แปลกหน้า
ดังนั้น นางเตรียมจะลุกขึ้นผละไป แต่ได้ยินเสียงคนดังมาจากโต๊ะข้างๆ
"นึกมิถึง หมีเฒ่าฮิ้มป้าทีที่อาละวาดมาชั่วชีวิต ถึงกับตายในมือสตรีไร้ชื่อเสียงเรียงนาม นับเป็นอาถรรพณ์ของมารดามันจริงๆ"
"ผู้ใดว่าไม่ใช่ ฟังว่า สตรีนางนั้นยังเยาว์วัยจนไม่น่าเอ่ยอ้าง ประมาณยังไม่ถึงยี่สิบปีเลย ถึงกับอาศัยเพียงลำพังตัวถล่มทลายสำนักวิทยายุทธ์ไต้อุยที่มีชื่อกระเดื่องดังได้"
"อวา…สตรีที่ดุร้ายปานนี้ บุรุษใดกล้าสู่ขอนางมาเป็นภรรยา ?"
คนทั้งโต๊ะนั้นต่างหัวร่อกันขึ้น
น่ำเก็งเสาะอดมิได้ต้องเบือนหน้ามองไป เห็นที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปอีกประมาณสองโต๊ะ มีชายฉกรรจ์สามคนกำลังนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
แม้ตอนนี้จะมีผู้คนแออัด ส่งเสียงเซ็งแซ่จอแจ แต่เสียงของพวกมันดังกว่าธรรมดาอยู่บ้าง ดังนั้นน่ำเก็งเสาะสามารถได้ยินถนัดชัดเจน
ผู้หนึ่งที่สารรูปเรียบร้อย แต่น้ำเสียงที่ว่ากล่าวกลับคล้ายจงใจบีบจนขัดหูส่งเสียงขึ้น
"ในความเห็นของเรา สตรีที่มีนามน่ำเก็งเสาะแม้ฆ่าฮิ้มป้าทีไปได้ แต่วาระสุดท้ายในชีวิตนางก็ต้องไม่ไกลนัก"
อีกผู้หนึ่งที่มีเค้าหน้าพิกลพิสดาร โดยดวงตา จมูก ปาก ต่างเล็กอย่างยิ่ง และยังรวมตัวอยู่เป็นกระจุกเดียวกัน มีเพียงคิ้วที่ทั้งหนาทั้งดำทั้งสองลุกชี้ชัน ยามใดที่มันส่งเสียง คิ้วดกหนาทั้งสองเคลื่อนไหวดุจกับเป็นตัวหนอนก็ปาน
"เพราะเหตุใด คนที่อาศัยเพียงลำพังตัว ถล่มทลายสำนักฝึกวิทยายุทธ์ไต้อุยได้ย่อมพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง ผู้ใดสามารถให้นางตายไปโดยง่ายดายปานนี้ ?"
อีกผู้หนึ่งที่สวมเสื้อยาวสีทอง แต่ร่างกลับผอมเหลือหนังหุ้มกระดูก ใบหน้ายิ่งซีดขาวผิดธรรมดา ประหนึ่งไม่เคยพบกับแสงอาทิตย์มาตลอดปีก็ปาน โดยเฉพาะริมฝีปากที่ใต้หนวดกระจุกเล็กๆ ยิ่งซีดขาวจนไม่มีสีเลือด บันดาลให้ผู้คนพอเห็นต้องรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยามมันกล่าววาจา สีหน้าชาด้านไร้ความรู้สึกจนไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางของมันได้ ยิ่งบันดาลให้ผู้คนรู้สึก มันต้องไม่ใช่เป็นคนเปิดเผยห้าวหาญ ได้ยินมันกล่าว
"มีผู้หนึ่ง สามารถให้นางตายไปได้ ต่อให้น่ำเก็งเสาะมีพลังฝีมือสูงเยี่ยมปานใด ยังต้องไม่ใช่คู่มือของคนนั้นเด็ดขาด"
"ผู้ใด ?"
ชายฉกรรจ์คิ้วดกหนา รีบถามด้วยความตื่นเต้นสนใจ
คนหนวดกระจุกตอบเสียงสั้นๆ
"งึ่นตอ (ดาบเงิน) !"
"บัดซบ เราถึงกับลืมคนผู้นี้ไปได้"
คนคิ้วดกหนาส่งเสียงแล้ว ตบขาอ่อนมันดังฉาดใหญ่ กล่าวต่อไป
"กาลกระโน้น ฮิ้มป้าทีอาศัยดาบในมืออาละวาดอย่างภาคภูมิในยุทธจักรไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านรับมือได้ ยังเคยพ่ายแพ้ในฝีมือของดาบเงินทิจับเปีย แต่มันทั้งสองกลับกลายเป็นสหายรักที่ตายแทนกันได้ เคยมีช่วงเวลายาวนานที่ทั้งสองร่วมท่องเที่ยวในยุทธจักร โดยมิเคยพลัดพรากจากกัน…"
มิทันจบความ สุราอาหารที่พวกมันสั่งถูกยกมา ทั้งสามจึงยุติคำวิพากษ์วิจารณ์ เริ่มดื่มกินของพวกมันไป
น่ำเก็งเสาะยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง อดมิได้ต้องก้มศีรษะครุ่นคิด
จนตอนนี้นางจึงทราบ สาเหตุที่ฮิ้มป้าทีไฉนต้องหาที่ตาย
หากมันไม่ตาย นอกจากกลายเป็นวีรบุรุษที่พ่ายแพ้แล้ว ไม่มีกระไรทั้งสิ้น แต่เมื่อมันตายไป ย่อมมีคนมาล้างแค้นแทนมัน !
สหายที่คนดั่งมันคบหา ย่อมไม่ใช่เป็นชาวยุทธ์ชั้นธรรมดา โดยเฉพาะคนที่จะล้างแค้นแทนมัน ย่อมต้องเป็นยอดฝีมือของชั้นหนึ่ง
ฮิ้มป้าทีนับเป็นผู้มีความคิดลึกซึ้งจริงๆ !
น่ำเก็งเสาะอดไม่ได้ต้องรู้สึกนับถือฮิ้มป้าทีบ้างแล้ว คนที่สามารถยุติชีวิตของตัวเอง ไปลบล้างความอัปยศของการพ่ายแพ้ และนำพาความยุ่งยากลำบากให้แก่ศัตรูที่พิชิตมัน นับว่ามันมีทั้งขวัญ ทั้งความคิดที่กว้างไกลโดยไม่ต้องสงสัยเลย
บุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่นั่งดื่มกินอยู่ตรงกันข้ามกับนาง มันดื่มกินโดยสงบ ทั้งไม่สนทนาปราศรัย กระทั่งนัยน์ตา ยังไม่เคยเหลือบมองน่ำเก็งเสาะแม้สักแวบหนึ่ง
ความจริงน่ำเก็งเสาะนับเป็นสตรีที่สวยงามไม่น้อย โดยเฉพาะยามนางหัวร่อ นอกจากลักยิ้มทั้งสองแก้มที่เปี่ยมเสน่ห์แล้ว ยังมีตาเรียวยาวของนาง หยีจนเหลือเส้นเดียวประหนึ่งเป็นเดือนดวงใหม่ในฟากฟ้า ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นพิเศษ
ดังนั้น ยามนางเดินตามถนนหนทาง มักจะกระตุ้นความสนใจของบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ ประกายตาที่มองมา มักจะมีเค้าของความหื่นกระหายโดยไม่รู้ตัว
ในตอนนั้น นางบังเกิดความชิงชังรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกบุรุษล้วนมิใช่เป็นตัวดี
แต่บุรุษที่เบื้องหน้านางตอนนี้ กลับเคร่งขรึมสำรวม ดวงตาไม่กลอกกลิ้ง กระทั่งยามเคี้ยวอาหาร ยังไม่มีเสียงสักแผ่วเบา แสดงว่ามันเป็นคนได้รับการอบรมอย่างดี
บุรุษหนุ่มเช่นนี้ ในยุคสมัยนี้ กล่าวได้ว่ามิใคร่เคยพบนัก น่ำเก็งเสาะอดรู้สึกตื่นเต้นสนใจ จนเหลือบมองมันไปอีกสองสามครั้งไม่ได้
นางยกถ้วยชาขึ้นจ่อริมฝีปาก แต่สายตาลอบชำเลืองมอง หัวใจนางพลันเต้นถี่เร็ว เหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาทันที !
นางพบเห็น มือที่ถือตะเกียบคู่ของมัน นิ้วทั้งห้าถึงกับตัดเล็บจนสั้น นางยังพบเห็น ข้อต่อของห้านิ้วหยาบใหญ่เป็นพิเศษ ขัดกับผิวขาวละเอียดของมันอย่างยิ่ง !
นั่นเป็นมือที่กุมกระบี่ !
ที่บันดาลให้นางหวาดกลัวคือ ท่านั่งตอนนี้ของมัน ถึงกับเป็นท่านั่งตัวตรงไร้จุดอ่อน อันเป็นสุดยอดวิชาระดับเลิศ ท่านั่งเช่นนี้ มิว่าดูในแง่มุมใด ต่างหาจุดอ่อนช่องว่างของมันไม่ได้เลย !
ซึ่งหมายความว่า หากมีคนคิดจะพลันลงมือจู่โจมต่อมันในตอนนี้ ต้องไม่มีโอกาสได้ผลแน่นอน !
ท่านั่งตัวตรงไร้จุดอ่อน มีมากมายเป็นร้อยเป็นพัน แต่กระทั่งตอนรับทานอาหารยังรักษาท่านั่งนี้ไว้ได้ น่ากลัวมีน้อยกว่าน้อยนัก แสดงแน่ชัด บุรุษหนุ่มผู้นี้ เป็นยอดฝีมือที่สูงเยี่ยม !
มันเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ? หรือมันระวังป้องกันน่ำเก็งเสาะจะพลันลงมือต่อมัน ?
ที่จริงน่ำเก็งเสาะไม่รู้จักมันเลย ย่อมไม่พลันจู่โจมมัน อย่างนั้น ใช่มันคิดจะจู่โจมน่ำเก็งเสาะหรือไม่ ?
น่ำเก็งเสาะไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ท่านั่งของนางตอนนี้ มั่นใจว่าสามารถต่อต้านการจู่โจมใดๆทั้งสิ้น !
น่ำเก็งเสาะเริ่มครุ่นคิด บุรุษเบื้องหน้าเป็นผู้ใดกันแน่ ?
ดวงตาของน่ำเก็งเสาะมีประกายหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นแล้ว
นางพลันรู้สึก กำลังภายในทั้งมวลของนาง ถึงกับสูญสลายไปหมดสิ้นได้ !
ในที่สุดนางทราบ บุรุษผู้ได้รับการอบรมอย่างดีเยี่ยมคือผู้ใดกันแน่ ?!
"มิว่าอยู่ในสถานการณ์ใด แม้นับว่ามีกระบี่คมกริบ เล็งตรงมาที่คอหอยของเจ้า เจ้ายังต้องรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ !"
คำสอนนี้ อาจารย์ของน่ำเก็งเสาะเคยพร่ำบอกแก่นางมาหลายร้อยหลายพันครั้งแล้ว
น่ำเก็งเสาะตอนนี้เยือกเย็นเป็นพิเศษ เยือกเย็นจนกระทั่งนางเองแทบยังไม่ยอมเชื่อ !
เสียงของนางก็เยือกเย็นมั่นคง ประหนึ่งเป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง
"ตั๊กจับโป๊ย ยาพิษที่ท่านใส่ในถ้วยชาของเราเราดื่มแล้ว ท่านยังรอกระไร ?"
ในที่สุด บุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์เงยหน้าขึ้น มุมปากมีรอยยิ้มที่งามสง่าเล็กน้อย นับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลจริงๆ
น้ำเสียงของมันแม้มีความกระหยิ่มภาคภูมิอยู่หลายส่วน แต่ยังไม่สูญเสียความนุ่มนวล
"น่ำเก็งเสาะ ท่านเข้าใจเรากำลังรอกระไร ?"
น่ำเก็งเสาะไม่ส่งเสียง นางเพียงแต่มองมันโดยสงบเยือเย็น มุมปากก็มีรอยยิ้มดั่งปลอดโปร่งสบายเช่นกัน
ดวงตาของตั๊กจับโป๊ย มีประกายคลางแคลงสงสัยขึ้นวูบหนึ่ง
'ตั๊กจับโป้ย' (พิษสิบแปด) ชาวยุทธ์ต่างเรียกมันเช่นนี้ คล้ายไม่มีคนรู้จักมันชื่อแซ่ใด เพียงทราบ หากมันใช้พิษไป พอจะสังหารท่านทั้งสิบแปดขั่วคนได้ ดังนั้นทุกคนต่างเรียกมันตั๊กจับโป้ย
น่ำเก็งเสาะเงียบงันชั่วครู่ จึงส่งเสียงราบเรียบ
"ท่านไม่ใช่เป็นคนชอบเสี่ยงอันตราย ท่านรอบคอบสุขุมเสมอมา ดังนั้นท่านต้องรอจนเราแตกตื่นลนลาน ท่านจึงเชื่อว่าเราดื่มชาอึกนั้นไปจริงๆ"
นางถอนใจเบาๆ กล่าวต่อไป
"ท่านมิเพียงมีเปลือกนอกที่น่าดูเท่านั้น ยังเป็นคนมีสมองเปรื่องปราดหลักแหลมอีกด้วย"
ตั๊กจับโป้ยแม้มีรอยยิ้มดั่งเดิม แต่ยากจะงำเค้าหน้าคลางแคลงสงสัยของมันไว้ได้ ส่งเสียงราบเรียบ
"ท่านอย่าได้ตำหนิเรา นี่ล้วนเป็นความต้องการของเล้งเม้งศิษย์คนโตของฮิ้มป้าที ท่านฆ่าอาจารย์มันไป ใช่หรือไม่ ?"
น่ำเก็งเสาะคลึงถ้วยชาในมือเบาๆ ส่งเสียงราบเรียบ
"ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับมัน ?"
"ไม่มีความสัมพันธ์สักน้อยนิด มันจ่ายเงิน เราจับคน เหตุผลเท่านี้พอหรือไม่ ?"
"ย่อมเกินพอ ชาวโลกที่ฆ่าคนเพราะเงิน มิใช่มีท่านเพียงผู้เดียว"
น่ำเก็งเสาะหยุดหัวร่อเบาๆ ใช้สายตาเหยียดหยามดูแคลน มองหน้าตั๊กจับโป้ยพลางกล่าวต่อ
"ในเมื่อเช่นนี้ ท่านเหตุใดยังไม่ลงมือจับเรา ?"
ตั๊กจับโป้ยถลึงจ้องนางอย่างเย็นชา
น่ำเก็งเสาะนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว ใบหน้าไม่เปลี่ยนสี !
ตั๊กจับโป้ยถึงกับลังเลแล้ว !
น่ำเก็งเสาะพลันถอนใจยาวกล่าวขึ้น
"ที่จริงแผนนี้ของท่านยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ตอนแรกแสร้งมาขอร่วมโต๊ะกับเรา จากนั้น ใช้สามคนที่เตรียมไว้ก่อน ส่งเสียงสนทนาดังๆ กระตุ้นให้เราสนใจ แล้วใช้ปลายตะเกียบแตะยาพิษ ฉวยโอกาสตอนคีบกับจุ่มปลายตะเกียบเข้าในถ้วยชาของเราอย่างรวดเร็ว เพียงเสียดาย…"
"เพียงเสียดายกระไร ?"
ใบหน้าที่คมคายของตั๊กจับโป้ยบิดเบี้ยวจนขัดตาแล้ว !
น่ำเก็งเสาะมองมันด้วยสายตาเย็นชา ส่งเสียงเชื่องช้า
"เพียงเสียดายที่เราทราบแต่แรกแล้ว ท่านคิดดู เราแม้ไม่รู้จักท่าน แต่เรารู้จักท่า 'นั่งตัวตรงไร้จุดอ่อน' ของท่าน หากท่านไม่มีอกุศลจิตต่อเรา ไฉนต้องมีการป้องกันเราโดยระมัดระวังปานนี้ ?"
ตั๊กจับโป้ยไม่อาจส่งเสียงโต้เถียงได้แม้สักคำ !
น่ำเก็งเสาะแค่นหัวร่อกล่าวต่อ
"เราตอบ ท่านกำลังสงสัยเราโป้ปด เนื่องเพราะท่านเห็นชัดๆ เราดื่มน้ำชาถ้วยนี้ลง ใช่หรือไม่ ?"
ตั๊กจับโป้ยเขม้นมองนางแน่วนิ่ง คล้ายดั่งจะมองให้ทะลุเข้าไปถึงในหัวใจของนาง เน้นเสียงหนักๆ
"ใช่ ท่านตอนนี้เป็นเพียงเสแสร้งมารยา คิดจะขู่ขวัญเราให้ไปเองกระมัง ?"
หัวใจน่ำเก็งเสาะเต้นถี่เร็ว แต่สีหน้าข่มไว้ยะเยียบเย็นชาดั่งพอกน้ำแข็ง ส่งเสียงกระด้างเย็นชา
"ตั๊กจับโป้ย ท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลม แม้ท่านนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรยุคนี้ แต่ในใจท่านชัดเจนอย่างยิ่ง เมื่อเราสามารถฆ่าฮิ้มป้าที ย่อมฆ่าท่านได้เช่นกัน มิว่าอย่างไร พลังฝีมือของท่านต้องไม่เข้มแข็งเหนือกว่ามัน ใช่หรือไม่ ?"
นี่เป็นความสัตย์จริง หากน่ำเก็งเสาะไม่ถูกพิษ น่ากลัวตั๊กจับโป้ยมิใช่คู่มือของนางได้
ตั๊กจับโป้ยต้องรู้สึกสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง หากทราบแต่แรก มันใช้ยาพิษปลิดชีวิตนางก็ประเสริฐ เพราะเยี่ยงนั้น น่ำเก็งเสาะจะถูกพิษหรือไม่ มองปราดเดียวย่อมแน่แก่ใจได้
เนื่องเพราะหากนางถูกพิษ นางต้องล้มลงทอดซากกับพื้นเสียนานแล้ว
แต่เพราะเล้งเม้งบอก หากจับเป็นมาได้เพิ่มราคาให้อีกหนึ่งเท่าตัว เพราะมันต้องการฆ่าน่ำเเก็งเสาะกับมือ เพื่อล้างแค้นแทนฮิ้มป้าทีผู้เป็นอาจารย์ ดังนั้นตั๊กจับโป้ยจึงใส่ยาพิษ 'สลายกำลังภายใน' ไว้ในถ้วยชาของน่ำเก็งเสาะเท่านั้น
ตอนนี้ มันสะสางไม่ชัดเจนจริงๆ น่ำเก็งเสาะใช่ถูกพิษมันหรือไม่กันแน่ ?
ในความเห็นของมัน คนที่ถูกพิษต้องไม่สามารถข่มตัวเอง จนมีความปลอดโปร่งเยือกเย็นปานนี้เด็ดขาด !
น่ำเก็งเสาะแย้มยิ้มอย่างน่าลุ่มหลง กล่าวด้วยท่าทีปลอดโปร่ง
"หากท่านไม่มีความมั่นใจ ไฉนไม่เรียกพวกพ้องทั้งสามคนนั้นของท่าน มาร่วมลงมือด้วยกัน เยี่ยงนี้โอกาสมิใช่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหรือไร ?"
ตั๊กจับโป้ยถลึงจ้องนางอย่างดุดันพลางแค่นเสียง
"ในเมื่อท่านทราบ พวกเราคิดจะประทุษร้ายท่าน เหตุใดยังไม่ลงมือ ?"
"เรามิได้ถูกการลอบประทุษร้ายของท่านทำอันตราย เราเหตุใดต้องลงมือ ?"
หยุดเล็กน้อย กระแสเสียงของน่ำเก็งเสาะเปลี่ยนเป็นยะเยียบเย็นชา เน้นทีละคำ
"แต่ทว่า หากท่านยังไม่ไป เราพอจะบอกกับท่านได้ เราต้องไม่นั่งว่ากล่าวกับท่านเช่นนี้อีก ท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ ?"
ความหมายในวาจา น่ำเก็งเสาะต้องการลงมือแล้ว !
หน้าผากตั๊กจับโป้ยมีเหงื่อซึมออกมาแล้ว อดมิได้ต้องเบือนหน้า มองไปยังพวกพ้องสามคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ดวงตามีประกายคำถามความเห็นของพวกมัน
สามคนนั้น ความจริงสนใจเหตุการณ์ในด้านนี้เสมอมา พวกมันย่อมถูกน่ำเก็งเสาะก่อกวนจนงุนงงไปเช่นกัน
สุดท้าย ตั๊กจับโป้ยกับพวกพ้องของมันยังคงจากไปจากห้องอาหารของโรงเตี๊ยม !
อาจบางที มีคนรู้สึกมันไม่กล้าหาญเพียงพอ แต่ชาวโลกมีผู้กล้าหาญเพียงพออยู่มากน้อยเท่าใดกัน ?
หากแต่ละคนต่างแกล้วกล้าไม่กลัวตาย เช่นดั่งฮิ้มป้าที นั่นก็ต้องไม่จำเป็นแซ่ซ้องสรรเสริญแก่คนไม่กลัวตายแล้ว
หากว่าตั๊กจับโป้ยกลัวตาย มิสู้ว่ามันเปรื่องปราดหลักแหลมเหมาะสมกว่า เพราะอย่างไร มีแต่คนฉลาดหลักแหลม จึงรู้จักไม่กระทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจ
ตั๊กจับโป้ยรักเงิน แต่มันยิ่งรักชีวิตของมัน คนเช่นดั่งมัน ท่านไม่รู้สึกว่าน่ารักอย่างยิ่งหรือไร ?
**********
น่ำเก็งเสาะระบายลมจากปากยาวๆ นางคล้ายสูญเสียพละกำลังไปทั้งมวลจนต้องเอนกายพิงผนัง นางรู้สึกหลังเสื้อชั้นในของนางถูกเหงื่อทะลักจนเปียกชุ่มโชกแล้ว
นางในตอนนี้ อย่างน้อยต้องอีกสองชั่วยามจึงมีกำลังภายในทุเลาเป็นปกติ ช่วงเวลานี้ มิว่าอย่างไรนางไม่อาจนั่งในห้องอาหารอีกแล้ว
นางกลับไปยังห้องพัก ที่เป็นตึกโดดเดี่ยวทางด้านหลัง
แต่ตอนนางก้าวเข้าไปในห้อง กลับเห็นเล้งเม้งศิษย์คนโตของฮิ้มป้าทีก้าวติดตามนางเข้ามา
นางมองมันด้วยความตระหนก อดมิได้ต้องโพล่งถาม
"เจ้าเข้ามาทำกระไร ?"
สีหน้าเล้งเม้งเลวร้ายอย่างยิ่ง แต่ยังมีรอยยิ้มที่กระหยิ่มภาคภูมิพลางตอบ
"เจ้าเข้าใจเรามาทำกระไร ? ย่อมมิใช่มาร่วมดื่มสุรา ขึ้นเตียงกับน่ำเก็งเสาะเจ้ากระมัง ?"
น่ำเก็งเสาะพยายามสะกดความแตกตื่น ขวัญเสียของนางไว้ ตวาดด้วยโทสะ
"เจ้าคิดหาที่ตายกระมัง ?"
เล้งเม้งแค่นหัวร่อ คุกคามเข้าหานางช้าๆ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว
"แล้วกันไปเถิด เจ้าตบตาพวกตั๊กจับโป้ยได้ แต่ไม่อาจตบตาเราผู้แซ่เล้ง เราเห็นชัดๆ ว่าเจ้าดื่มน้ำชาถ้วยนั้น เจ้าในตอนนี้ เฮอะ…น่ากลัวกระทั่งมดก็ยังไม่สามารถขยี้ให้ตายได้เลย"
น่ำเก็งเสาะไม่อาจสะกดกลั้นให้เยือกเย็นได้อีกแล้ว ใบหน้ากลับกลายเป็นเผือดขาวราวซากศพทันที !
น่ำเก็งเสาะต้องถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว พลางส่งเสียง
"ในเมื่อเจ้าแน่ใจปานนี้ เมื่อครู่ไฉนไม่เปิดเผยขึ้น ?"
เล้งเม้งหัวร่อคิกๆ กวาดตาของมันสำรวจร่างน่ำเก็งเสาะขึ้นๆลงๆ พลางส่งเสียง
"ว่าเจ้าฉลาดกลับโง่ถึงปานนี้ หากเราเปิดเผยไปในตอนนั้น ไยมิใช่ต้องสูญเสียเงินไปจำนวนหนึ่ง"
น่ำเก็งเสาะถอยมาจนถึงมุมห้อง ส่งเสียงสะท้าน
"เจ้าต้องการอย่างไร ?"
"ไม่อย่างไร เราเพียงแต่ถลกหนังของเจ้า เซ่นสังเวยอาจารย์เราเท่านั้น"
หยุดเล็กน้อย เล้งเม้งกล่าวต่อด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมอำมหิต
"เจ้าย่อมต้องทราบ ก่อนที่เราจะถลกหนังเจ้า เราจะต้องเปลื้องเสื้อผ้าเจ้าให้เปลือยเปล่าก่อน…"
มิทันจบคำ ฝ่ามือที่แข็งแรงมีพลัง ตะปบเข้าใส่ทรวงอกน่ำเก็งเสาะด้วยความเร็วปานสายฟ้า !
น่ำเก็งเสาะตระหนกจนหัวใจแทบหยุดเต้น นางตอนนี้ไม่มีพละกำลังหลงเหลือสักน้อยนิด ย่อมไม่สามารถต่อต้านกระบวนท่าของเล้งเม้งได้ นางคิดจะหลบหลีกแต่ไม่มีพละกำลังเพียงพอ จำเป็นต้องขบกรามสะบัดมือออกต่อต้าน
ฝ่ามือเล้งเม้งพลิกควับ ตะปบเข้าใส่ข้อมือน่ำเก็งเสาะ ดั่งกรงเล็บเหยี่ยวที่คว้าลูกไก่ ใช้กำลังอีกเล็กน้อย น่ำเก็งเสาะเจ็บปวดจนแทบต้องคุกเข่าลง
มืออีกข้างหนึ่งของเล้งเม้ง ตบออกไปจนมีเสียงฉาดดังสดใส แก้มขาวผ่องของน่ำเก็งเสาะถูกตบจนมีรอยนิ้วทั้งห้าชัดเจน มุมปากยังมีโลหิตซึมออกมาอีกสายหนึ่งด้วย
"น่ำเก็งเสาะ ความโอหังลำพองของเจ้าหายไปที่ใด ?"
เล้งเม้งเชยคางกลมมนของนางขึ้น หัวร่อคิกคิก กล่าวต่อ
"สตรีเก่งกาจสามารถอีกปานใด ยังคงสู้บุรุษไม่ได้อยู่นั่นเอง ใช่หรือไม่ ?"
น่ำเก็งเสาะถูกบีบข้อมือจนเจ็บปวดแทบสลบไสล ตาเรียวเล็กของนาง ถลึงจ้องมันด้วยความอาฆาตแค้นพลางแค่นเสียง
"เล้งเม้ง หากเจ้าเป็นบุรุษเพศ จงสังหารเราให้รวบรัดตัดความในดาบเดียว"
ดวงตาเล้งเม้งมีประกายหื่นกระหายขึ้น แค่นเสียงยะเยียบเย็นชา
"เราย่อมต้องให้ความรวบรัดแก่เจ้า บุรุษคิดจะให้ความรวบรัดสบายแก่สตรีเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงให้นางขึ้นไปบนเตียง ประกันต้องเป็นความสุขสบาย…"
ในเสียงว่ากล่าว มันแผดหัวร่ออย่างหื่นกระหาย เหวี่ยงร่างน่ำเก็งเสาะขึ้นไปบนเตียง ร่างโถมตามติดดุจพยัดฆ์ตะปบลูกแกะ !
แต่เล้งเม้งมิได้โถมไปถึงบนเตียง เพราะพริบตาที่ร่างมันทะยานขึ้นจากพื้น ประตูพลันถูกกระแทกเปิดออก เงาร่างสี่สายพุ่งปราดเข้ามาปานกระแสลม !
ผู้ทะยานเข้ามาคนแรก ใช้กระบวนท่าจู่โจมพร้อมกับร่าง พลังหนักหน่วงขุมหนึ่งทะลักเข้าใส่ใบหน้าเล้งเม้ง พร้อมทั้งตวาดด้วยโทสะ
"เล้งเม้ง เจ้าสบาย พวกเราเฮียตี๋หลายคนกลับไม่สบายเลย !"
เล้งเม้งตระหนกยิ่งนัก ถีบเข้าใส่ขอบเตียงจนร่างตีลังกาขึ้นอากาศ หลบหลีกการจู่โจมไปได้โดยหวุดหวิด !
เมื่อทรงกายเพ่งมอง กลับเห็นพวกตั๊กจับโป้ยที่ไปแล้วย้อนกลับมา เล้งเม้งต้องมีโทสะเดือดดาลจนใบหน้าบูดบึ้งตึงเครียด แค่นเสียงถาม
"นี่ท่านทำกระไร ?"
"ทำกระไร ?"
ตั๊กจับโป้ยทวนคำแล้ว แค่นหัวร่อเสียงยะเยียบเย็นชากล่าวต่อ
"พวกเราจงใจกลับมา ดูเอียเท้าตัวนี้ใช่ถูกพิษหรือไม่กันแน่ ? แต่มิคาดคิดมาพบเจ้าชุบมือฉวยโอกาสในที่นี้ มารดาเจ้ากลับมีความสบายอย่างยิ่ง"
เล้งเม้งถอนหายใจเฮือกใหญ่กล่าว
"เป็นพวกท่านหลงกลต่อนางก่อน ไหนเลยว่าเราฉวยโอกาสได้ ?"
ตั๊กจับโป้ยถลึงจ้องมันด้วยความเดือดดาลไม่อาจระงับ ขบเขี้ยวเเคี้ยวฟันกล่าว
"บัดซบ ! เจ้ากลับว่ากล่าวจนปลอดโปร่งปานนี้ หากมิใช่เราตั๊กจับโป้ย พร้อมกับสามจิ้งจอกไท้โอ๊วขุดหลุมพรางวางแผนนี้ไว้ อาศัยเล้งเม้งเจ้า ? เฮอะ น่ากลัวทั้งชาตินี้อย่าหมายแตะต้องนางได้สักขุมขนหนึ่ง"
เล้งเม้งรีบปั้นสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มันชัดเจนยิ่งกว่าทุกผู้คน มันเพียงลำพังอย่างไรต้องไม่ใช่คู่มือตั๊กจับโป้ยโดยเด็ดขาด ต้องแย้มยิ้มกล่าว
"ถูกแล้วถูกแล้ว พวกเราตกลงกันเยี่ยงวิญญูชน เรามอบเงินแก่ท่านก็แล้วกัน"
แล้วสอดมือเข้าอกเสื้อ ล้วงตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งยื่นแก่ตั๊กจับโป้ยพลางกล่าวต่อ
"ตามสัญญาที่ตกลงกัน ตายห้าหมื่น เป็นสิบหมื่น นี่…นี่เป็นตั๋วแลกเงินสิบหมื่นตำลึง ซึ่งแลกได้ทั้งใต้เจ็ดเหนือหกสิบสามมณฑล"
ตั๊กจับโป้ยรับตั๋วแลกเงินมาซุกไว้ในอกเสื้อ แต่ส่งเสียงกระด้างเย็นชา
"ประเสริฐมาก แต่พวกเรายังต้องการอีกสิบหมื่นตำลึง"
"ไฮ้ ! ท่านว่ากระไร ?"
สามจิ้งจอกไท้โอ๊วที่ยืนอยู่ด้านหลังตั๊กจับโป๊ยพากันสืบเท้ามาก้าวใหญ่ เล่าตั้วที่หน้าซีดขาวมีหนวดกระจุกเล็กๆ ซึ่งผู้คนเรียกมันว่าจิ้งจอกใหญ่ กล่าวด้วยสีหน้าชาด้าน
"ความหมายของตั๊กเล่าตั้วเป็นว่า เจ้าต้องชำระมาอีกสิบหมื่นตำลึง พวกเราจึงยอมมอบคนให้"
เล้งเม้งร้องสุดเสียง
"เพราะเหตุใด ? พวกท่านจงใจขูดรีด ?"
"ท่านผิดแล้ว อาชีพเช่นพวกเรา ใช้ความโหดเหี้ยมไม่ใช้การขูดรีด"
ผู้ส่งเสียงครานี้ คือจิ้งจอกรองซึ่งสวมเสื้อขาวมีทีท่าเรียบร้อยนั่นเอง
"ใช้โหดเหี้ยมไม่ใช้ขูดรีด นั่นหมายถึงทีท่าที่มีต่อผู้ว่าจ้าง ซึ่งรักษาคำมั่นสัญญาไม่คดโกง"
ผู้ส่งเสียงนี้คือจิ้งจอกที่สาม ตอนมันว่ากล่าว คิ้วดกหนาทั้งสองคล้ายเป็นตัวหนอนที่ไต่ไปมา มันส่งเสียงต่อ
"ท่านเป็นผู้ว่าจ้างที่ไม่รวบรัดตัดความ ถึงกับอำพรางพวกเราโดยไม่ยอมชำระเงิน เสียดายที่เจ้าเคราะห์ร้าย ถูกพวกเราพบเห็นพิรุธ ดังนั้น เจ้าจึงต้องชำระเงินอีกหนึ่งเท่าตัว นี่เป็นกฎในอาชีพของพวกเรา"
เล้งเม้งอุทานเบาๆ ไม่อาจส่งเสียงได้อีกแล้ว
ตั๊กจับโป้ยแค่นเสียงยะเยียบเย็นชา
"เราไม่ชอบคนพร่ำพิไร เจ้ามอบเงินเรามอบคน เจ้าไม่ให้เราก็ปล่อยคน"
"อย่าเช่นนี้ จะดีจะชั่วพวกเราย่อมมีไมตรีอยู่เล็กน้อย มิใช่หรือไร ?"
เล้งเม้งรีบแย้มยิ้มประจบ เพราะหากตั๊กจับโป้ยให้ยาขจัดพิษแก่น่ำเก็งเสาะจริง ผู้ตายคนแรกย่อมเป็นตัวมัน
ใบหน้าจิ้งจอกใหญ่ตายด้านดั่งเป็นไม้ฝาโลงศพ ส่งเสียงกระด้าง
"พวกเราที่อยู่ในอาชีพนี้ เพียงถือเรื่องเงินทองไม่ถือเรื่องน้ำใจไมตรี"
เล้งเม้งอับจนปัญญา จำต้องส่งเสียง
"ก็ได้ก็ได้ สิบหมื่นก็สิบหมื่น นับว่าพวกท่านดุร้าย แต่ในตัวเราไม่มีเงินทองมากปานนี้…"
ตั๊กจับโป้ยสอดคำขึ้นทันที
"มิเป็นไร เจ้ากลับไปนำเงินที่สำนัก พวกเราจะอยู่รอท่านที่นี่"
น่ำเก็งเสาะนั่งตะลึงลานอยู่ที่มุมเตียงเสมอมา มีหลายครั้งที่ลองเกร็งกำลังภายในแต่ไม่มีลมปราณหลงเหลือสักน้อยนิด ต้องกระวนกระวายราวถูกไฟเผาผลาญหัวใจ
ในที่สุดนางทราบแล้ว ประสบการณ์ยุทธจักรอย่างไรมิใช่จะฝึกได้ในวันสองวัน แม้นางมีวิทยายุทธ์เลอเลิศสูงส่ง แต่ตอนนี้ กลับคล้ายเป็นเนื้อบนเขียงรอคมดาบของผู้คนเท่านั้น
คิดถึงตอนนี้ อดมิได้ต้องเจ็บช้ำรันทดสุดซึ้ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึง นางจะถูกเล้งเม้งย่ำยีจนตาย ยิ่งเศร้าเสียใจจนแทบตาย…
ทันใดนั้น นางเกิดความคิดต้องการฆ่าตัวตาย
มิว่าอย่างไร นางไม่ยินยอม เป็นเนื้อเป็นปลาบนเขียง ให้ผู้คนเชือดเฉือนตามอำเภอใจ


      Post Request

 

 

หอสะสมตำรา
หอสะสมตำรา (ว. ณ เมืองลุง)