|
เนื้อเรื่องย่อ
:
๑
.
ในยุคแผ่นดินราชวงศ์ซ้อง มีกษัตริย์สืบราชสมบัติต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
การบ้านเมืองก็เรียบร้อย ราษฎรก็นับว่ามีความสุขอยู่ จึงมิได้มีการทำนุบำรุงการทหารเท่าใดนัก
ส่วนวิชาการทางหนังสือนั้น ชนส่วนมากก็ได้พยายามขวนขวายอยู่เสมอ นอกจากนี้วิชาการดนตรี
การทำเครื่องลายคราม การเล่นแร่แปรธาตุ ก็เจริญขึ้นมาเป็นลำดับ
ต่อมา เจ็งกีสข่านแม่ทัพใหญ่ชาวมงโกลได้ยกทัพเข้ามาครอบครองแผ่นดินจีน หลานของเจ็งกีสข่านคือ
กุบไลข่านได้ตั้งราชวงศ์จีนขึ้นใหม่เป็นราชวงศ์หงวน ตั้งตนเป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า
พระเจ้าหงวนสีเกาโจวฮ่องเต้ พระมหากษัตริย์พระองค์นี้มีกฤษฎาภินิหารรวบรวมพระราชอาณาจักรได้กว้างใหญ่
และทรงขวดขันราชการแผ่นดินอย่างเข้มงวด แต่มีพระทัยกว้างขวาง จึงทำให้เป็นที่รักและยำเกรงในบุญบารมี
ทั้งในหมู่ข้าราชการบริพารตลอดจนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั่วไป
พระองค์โปรดเสด็จประพาสไปในที่ต่างๆ วันหนึ่งทอดพระเนตรเห็นคนเป็นจำนวนมากพากันมาซื้อหนังสือที่คัดแล้วไปอ่าน
ก็ทรงแปลกพระทัย จึงรับสั่งให้ข้าหลวงไปซื้อหนังสือเล่มนั้นมาชุดหนึ่ง แล้วทรงให้ราชอาลักษณ์แปลเป็นภาษามองโกเลียน
เมื่อได้ทอดพระเนตรหนังสือชุดนี้จบแล้ว ทรงพอพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงอนุญาตให้แปลต่อๆไป
ส่วนหนังสือจีนนั้นไม่ทรงขัดขวาง ทรงพระกรุณาให้คัดอ่านกันต่อไปได้ หนังสือเรื่องนี้คือ
หนังสือเรื่อง "สามก๊ก" จึงอาจกล่าวได้ว่า หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นในยุคแผ่นดินราชวงศ์หงวน
และได้แปลขึ้นเป็นภาษามองโกเลียนเป็นฉบับแรกด้วย
พระเจ้าหงวนสีเกาโจวฮ่องเต้ ในขณะที่ทรงรบทัพจับศึกอยู่นั้น พระองค์มิได้ทรงมีพระทัยเกี่ยวข้องในเรื่องอิสตรี
ครั้งเมื่อพระองค์ทรงย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว เสวยราชสมบัติเป็นฮ่องเต้ จึงทรงมีพระมเหสี
พระสนม และนางกำนัลใน เป็นบาทบริจาริกามากมาย พระองค์ทรงมีพระราชโอรสองค์หนึ่งซึ่งประสูตจากพระมเหสีองค์นั้น
เนื่องจากพระราชโอรสยังทรงพระเยาว์จึงทรงมีพระทัยวิตกกังวลอยู่เสมอ เกรงว่าเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว
ราชสมบัติในแผ่นดินราชวงศ์หงวนจะผันแปรไป ฉะนั้น จึงทรงหาพระอาจารย์ถวายพระอักษรและสรรพวิชาแก่พระราชโอรส
ส่วนพระราชโอรสนั้นทรงมีบุญญาธิการที่จะะได้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา
จึงทรงมีพระปรีชาในเรื่องวิชาความรู้ และทรงมีความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ต่อมาเมื่อพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว
พระราชโอรสซึ่งเจริญพระชนมายุได้เพียง ๑๗ พรรษา ก็ได้เสวยราชสมบัติสืบมา
ทรงพระนามว่า พระเจ้าหงวนเซ่งจงฮ่องเต้
พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ ทรงเจริญอยู่ในราชสมบัติ ทรงดำเนินนโยบายการปกครองแผ่นดินเจริญรอยพระราชบิดาทุกประการ
ฉะนั้น การบ้านการเมืองจึงราบรื่นเป็นปกติดี แบบแผนระเบียบต่างๆก็เป็นไปโดยเรียบร้อย
ขณะนั้น มีขุนนางผู้ใหญ่มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีศึกษามีนามว่า เม่งซื่อหงววน
เป็นชาวเมืองไกวจิว อันเป็นจังหวัดที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเพียงสองสามจังหวัดเท่านั้น
มีภรรยาชื่อนางเอียสี ท่านผู้นี้เป็นผู้ที่มีความรู้ทางวิชาหนังสือและวรรณคดี
และมีน้ำใจโอบอ้อมอารี จึงเป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องและนับถือจากชนทุกชั้น
เม่งซื่อหงวน มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ เม่งเกียเล้ง อายุ ๑๙ ปี และบุตรีคนหนึ่งชื่อ
เม่งลีกุน อายุเพิ่งย่างเข้า ๑๖ ปี บุตรชายนั้นได้รับราชการและติดตามอยู่ใกล้ชิดเม่งซื่อหงวนเสนาบดีศึกษาผู้เป็นบิดาอยู่เป็นนิจ
ส่วนบุตรนั้นมีความน่ารักน่าเอ็นดุมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเติบโตขึ้นก็ได้ศึกษาวิชาการเย็บปักถักร้อย
วิชาหนังสือดนตรีและวาดเขียน นอกจากนี้ยังรู้วิชาการเล่นหมากรุกอีกด้วย นางมีความรู้ลึกซึ้งและเชี่ยวชาญอย่างยากจะหาผู้มาเปรียบเทียบได้
ท่านเสนาบดีผู้นี้มีความพออกพอใจในบุตรีของตนเป็นอย่างมาก เคยกล่าวอยู่เสมอว่า
ถ้าหากลูกชายของตนมีความรู้และความเฉลียวฉลาดเหมือนลูกหญิงคนนี้แล้วไซร้
ตัวเองก็จะมีความสะดวกสบายในตำแหน่งหน้าที่และการงานที่ปฏิบัติก็จะเบาแรงขึ้นไม่น้อยทีเดียว
จะกล่าวถึงนางโซวสี ซึ่งเป็นแม่นมและดูแลนางเม่งลีกุนมาตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเติบใหญ่
นางมีลูกสาวติดมาด้วยชื่อว่าโซวเอี้ยงเสาะ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับนางเม่งลีกุน
และมีความรักใคร่นับถืดุจเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา ความสวยงามก็มิได้หย่อนยิ่งต่อกันเท่าไหร่นัก
แต่นิสัยนั้นแตกต่างกัน เช่น นางเม่งลีกุนนั้นเมื่อมีสิ่งใดอุบัติขึ้น มันใช้ความเยือกเย็นความสุขุมและเชาว์ความคิดอ่านเป็นที่ตั้ง
พยายามแก้ไขให้อุปสรรคนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี ทำให้ผู้คนในบ้านทั้งปวงทั้งรักและเคารพ
ส่วนางโซวเอี้ยงเสาะมีนิสัยตื่นตระหนกตกใจ เมื่อมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น หรือมีสิ่งที่ทำให้เป็นที่ไม่พอใจก็มีแต่ใจเป็นกังวล
มิได้พยายามหาทางแก้ไขแต่ประการใด เพื่อที่จะให้เรื่องใหญ่กฃายเป็นเรื่องเล็กลง
มีแต่จะร้องไห้ถ่ายเดียวเท่านั้น ทำให้สภาวะการณ์เลวลง ไม่สามารถที่จะแก้ไขอุปสรรคเพียงเล็กน้อยให้ผ่านไปได้
อันคุณความดีหรือความสวยงามของนางโซวเอี้ยงเสาะนั้นแม้จะมีอยู่บ้าง ก็มิได้เป็นที่เลื่องลืออกไป
ดดังเช่นนางเม่งลีกุนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ด้วยเหตุฉะนี้เสนาบดีศึกษาผู้บิดาจึงได้เคยปรารภอยู่เสมอว่าลูกสาวของตนนั้น
จะต้องได้เนื้อคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกัน ผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยต้องเป็นผู้ที่มาจากตระกูลชั้นสูงหรือขุนนางผู้ใหญ่
มีนิสัยเรียบร้อย มีความรู้สูง และอย่างน้อยต้องสอบเป็นขุนนางในตำแหน่งจอหงวนได้อีกด้วย
ฝ่ายเล่าเจียก เป็นชาวเมืองไกวจิว ขณะนั้นรับราชการอยู่ในเมืองหลวง มีตำแหน่งเป็นมหาอุปราช
และเป็นทั้งพ่อตาพระเจ้าหงวนเซ่งจงฮ่องเต้ด้วย เล่าเจียกมีภรรยาชื่อนางเอ็งสี
ซึ่งได้รับตำแหน่งพระราชทานเป็นกู่ไท้กุ๋น ฉะนั้นจึงมีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด
ถึงแม้จะได้เป็นมหาอุปราชมีอำนาจอิทธิพลสิทธิ์ขาดอยู่แล้ว แต่เล่าเจียกก็ยังอยากที่จะมีอำนาจเหนือขึ้นไปอีก
มีความโลภ คิดจะชิงราชสมบัติขึ้นครองเป็นฮ่องเต้เสียเอง ดังนั้นจึงมัสาส์นติดต่อไปมากับเจ้าแผ่นดินโซเลียนอยู่เสมอมิได้ขาดเพื่อคบคิดการนี้กัน
พระเจ้าแผ่นดินเมืองโซเลียนปกครองแผ่นดินอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง และได้ยกกองทัพมาทางเรือ
ประชิดเขตชายแดนทางทะเลไว้ พร้อมที่จะโจมตีเข้ามาในใจกลางแผ่นดินแห่งราชวงศ์หงวนอยู่ทุกขณะ
แต่ยังคอยรับคำบอกจากมหาอุปราชว่าจะสั่งมาประการใดเท่านั้น เนื่องจากแผ่นดินจีนกว้างใหญ่ไพศาล
แม้นมีเรื่องราวเกิดขึ้นประการใด เมื่อได้ถูกปกปิดไว้ พระเจ้าหงวนเซ่งจงฮ่องเต้ก็หาได้ทรงทราบถึงพระกรรณไม่
เล่าเจียกมหาอุปราชนั้น มีบุตรชายอยู่คนเดียวชื่อว่าเล่ากุยเป้ก ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่ม
มีอายุเพียง ๑๖ ปี รูปร่างแข็งแรงสง่างาม มีความรู้ทางหนังสือและวิชาเพลงอาวุธเป็นอย่างดี
เป็นที่รักสุดสวาทของบิดาและมารดา แต่ไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนทั่วไป
เนื่องจากเล่ากุยเป้กนั้นตั้งแต่เป็นเด็กจนเติบใหญ่ขึ้นมา ได้รับการตามใจจากบิดามารดาอยู่เสมอ
จึงทำให้เสสียเด็ก มีนิสัยโน้มไปทางชั่วมีความโหดร้าย ชอบรังแกบุคคลที่ตนไม่พอใจ
และมักจะประพฤติปฏิบัติเช่นนี้อยู่เป็นเนืองนิจ เมื่อครั้งยังเล็กอยู่ เมื่อไม่พอใจผู้ใดหรือใครทำให้โกรธแค้น
ก็ถึงกับสั่งให้คควักลูกตาออกเสีย ครั้นเติบใหญ่ขึ้นก็ยิ่งประกอบกรรมชั่วร้ายยิ่งขึ้น
ประสบสิ่งใดที่ไม่พอใจก็ถืออำนาจทำลายเสีย และเมื่อเห็นหญิงใดเป็นที่ต้องตาต้องใจ
ก็ยื้อแย่งฉุดเอามาเป็นภรรยาเสียง่ายๆ เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายแล้วก็ทิ้งขว้างหรือฆ่าเสีย
ทำให้พ่อแม่ญาติมิตรของผู้ที่ถูกรังแกมีความทุกข์ระทมใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีทางที่จะร้องเรียนต่อใครหรือที่ใดได้
แม้กระทั่งกรมการอำเภอก็เกรงขามอิทธิพลของมหาอุปราชอยู่มิใช่น้อยจึงไม่กล้าที่จะรับคำร้องทุกข์ใดๆ
ที่เล่ากุยเป้กก่อกรรมทำเข็ญขึ้น ฉะนั้นเรื่องราวต่างๆถึงจะมีอยู่ แต่ก็ยังสงบเงียบเฉยอยู่เช่นนั้น
ในที่นี้ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกท่านหนึ่งชื่อ ฮ่วงปู่สง มีภรรยาชื่อ นางเอียวสี่
ทั้สองต่างก็เป็นชาวเมืองไกวจิว มีอายุใกล้วัยชรา ขณะนี้ฮ่วงปู่สงดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และเสนาบดีกลาโหมมีบุตรชายและหญิงอยู่สองคน
คนผู้พี่เป็นหญิงชื่อ ฮ่วงปู่หัว มีอายุ ๑๗ ปี รูปร่างลักษณะสวยงามหาที่ติได้
กิริยามารยาทแช่มช้อย สามารถผูกใจผู้ที่ได้พบเห็นและเจรจาด้วย คนน้องเป็นชายชื่อฮ่วงปู่เสียว
อายุ ๑๖ ปี รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง มีความสง่าภาคภูมิสมเป็นชายชาตรี ทั้งสองคนพี่น้องได้รับการดูแลและเอใจใส่จากผู้เป็นบิดาถึงกับสอนวิชาเพลงอาวุธให้อย่างกวดขันด้วยตนเอง
นอกจากนี้ยังหาออาจารย์ผู้คงแก่เรียนใาสอนวิชาหนังสือให้อีกด้วย จึงทำให้ทั้งสองคนมีความรอบรู้ทางวิชาหนังสือและเพลงอวุธอย่างดีเลิศ
เล่ากุยเป้กกับฮ่วงปู่เสียวเป็นเพื่อนที่สนิทต่อกัน แม้ว่าทางผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะไม่ค่อยถูกคอกันเท่าใดนัก
แต่เล่ากุยเป้กกับฮ่วงปู่เสียว ก็ยังคบเป็นเพื่อนกันได้อย่างสนิทสนม เพราะทั้งสองคนนี้ชอบซ้อมเพลงอาวุธ
และวิพากษ์วิจารณ์กวีนิพนธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องความประสงค์ของซึ่งกันและกัน
ทั้งในเวลานั้นจะหาผู้อื่นที่มีวิชาเพลงอาวุธดีและถูกใจเล่ากุยเป้กเหมือนฮ่วงปู่เสียวหามิได้
ถึงหากท่านแม่ทัพผู้เป็นบิดาจะได้ทราบถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่ก็มิได้ขัดขวางหรือสั่งให้ตัดไมตรีต่อกัน
เพียงแต่กล่าวเตือนบุตรชายให้มีความระมัดระวังตัว อย่าให้ประพฤติไปในทางที่ผิด
ให้ผ่อนปรนกันและกันอย่าได้ถือโอกาสอยู่เหนือกว่าเขา ฉะนั้น ทั้งสองคนจึงยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา
วันหนึ่งเวลาบ่าย หลังจากซ้อมอาวุธกันแล้ว ทั้งเล่ากุยเป้กและฮ่วงปู่เสียวต่างก็ไม่มีอะไรที่จะทำต่อไป
จึงเล่นหมากรุกและดื่มสุรากัน จนรู้สึกว่ามึนเมาไปบ้างเล็กน้อย ครั้นแล้วก็คิดที่จะกลับบ้าน
จึงพร้อมใจกันเดินไปอย่างช้าๆเลียบลัดไปตามทางที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ ในบริเวณที่ใกล้เคียงกันนั้นเป็นสวนที่ใหญ่โตมาก
มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมอยู่ทั่วไปทำให้มีบรรยากาศร่มรื่น ภายในสวนใหญ่นั้นมีคฤหาสน์โอ่โถงตั้งอยู่ในท่ามกลางชัยภูมิที่สวยงาม
มีต้นไม้ดอกปลูกเป็นแถวเป็นแนว หลากสีหลากชนิดชูดอกออกช่ออยู่ทั่วไป ทำให้มองแล้วเป็นที่เจริญตาเจริญใจยิ่งนัก
ในขณะนั้นฮ่วงปู่เสียวบังเอิญเหลือบตาไปเห็นป้ายชื่อประตูบ้าน รู้ว่าเป็นที่อยู่ของท่านเสนาบดีศึกษา
ทำให้คำนึงถึงคำเลื่องลือที่กล่าวถึงนางเม่งลีกุนขึ้นมา จึงหันมากล่าวกับเล่ากุยเป้กว่า
"ข้าพเจ้าเคยใฝ่ฝันอยู่เนืองๆว่า วันหนึง่จะต้องให้บิดามารดามาสู่ขอนางเม่งลีกุนไปเป็นคู่ครองของข้าพเจ้าให้จงได้"
ฝ่ายเล่ากุยเป้กนั้น เมือ่ได้ยินคำพูดกล่าวถึงชื่อเม่งลีกุนซึ่งตนก็รู้จักดีอยู่แล้ว
และก็เป็นที่ใฝ่ฝันอยู่เสมอเช่นกัน จึงคิดว่าเราควรที่จะเข้าไปพูดจาสู่ขอเสียก่อน
มิฉะนั้น นางเม่งลีกุนจะตกเป็นของผู้อื่นไป เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็เปิดประตูเดินเข้าไปโดยมิได้ขออนุญาตต่อผู้รักษาประตูแต่อย่างใด
ส่วนฮ่วงปู่เสียวนั้น เมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้าไปแล้วก็รีบเดินตามติดเข้าไปเช่นกัน
คนใช้ที่อยู่ภายในบ้านมาถามว่า "ท่านทั้งสองมีธุระสิ่งใด จะมาพบท่านเสนาบดีหรือ"
ทั้งสองก็พูดพร้อมกันว่า "เรามาเยี่ยมคารวะท่านเสนาบดีและขอปรึกษาราชการสำคัญด้วย"
คนใช้จึงได้นำความเข้าไปเรียนให้ท่านเสนาบดีศึกษาทราบ เมื่อท่านเสนาบดีทราบเรื่องแล้ว
ก็รู้สึกตกใจและมีความครั่นคร้ามอยู่ในที แต่เมื่อคนทั้งสองได้ล้วงล้ำเข้ามาถึงภายในบ้านแล้ว
ครั้นจะไม่ออกไปต้อนรับก็ดูกระไรอยู่ จึงรีบสวมเสื้อผ้าแบบผู้ใหญ่เดินออกมา
และเชื้อเชิญคนทั้งสองให้เข้าไปนั่งในห้องรับแขก และให้จัดน้ำชาและสุราออกมาเลี้ยงดู
เมื่อปราศรัยกันตามธรรมเนียมแล้ว เล่ากุยเป้กจึงกล่าว่า "ข้าพเจ้าตั้งใจจะมาชมตัวนางเม่งลีกุน
ว่าจะสวยงามดังคำที่เล่าลือกันหรือไม่ และข้าพเจ้าอยากจะขอร้องให้บิดาของข้าพเจ้ากำหนดการแต่งงานให้เราทั้งสองด้วย"
ท่านเสนาบดีเมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น ก็รู้สึกโกรธแค้นอยู่ภายในใจ แต่เนื่องด้วยความยำเกรงต่ออำนาจและอิทธิพลของท่านมหาอุปราชอยู่เป็นอันมาก
จึงหักห้ามความโกรธนั้นเสีย กลับมาใช้ความเยือกเย็นและสุขุมอันเป็นนิสัยประจำตัว
พยายามที่จะหาทางแก้อุปสรรคอันนี้ให้ผ่านพ้นไปด้วยวิธีการทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก
และแล้วท่านเสนาบดีได้มีความคิดขึ้นอย่างหนึ่งแล้วจึงเสแสร้งทำเป็นถามฮ่วงปู่เสียวว่า
"ท่านมากับเพื่อนมีจุดประสงค์อันเดียวกันหรือไม่"
ฮ่วงปู่เสียวก็รีบคำนับ พร้อมกับกล่าวตอบด้วยวาจาที่ฉะฉานชัดเจน มีกิริยานอบน้อมในทีว่า
"ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่มีความประสงค์อยู่ก่อนที่จะมาสู่ขอนางเม่งลีกุน
และการที่เพื่อนข้าพเจ้าพูดตัดหน้าข้าพเจ้าเมื่อสักครู่นี้ ขอท่านเสนาบดีโปรดได้พิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่ข้าพเจ้าด้วย"
ท่านเสนาบดีศึกษากล่าวตอบด้วยเชาว์อันฉับไวว่า "ถ้าถือเป็นประเพณีดั้งเดิมแล้ว
การสู่ขอลูกสาวนั้นต้องเป็นหน้าที่ของแม่สื่อ โดยที่ทางฝ่ายผู้ใหญ่ใช้มา
ซึ่งท่านทั้งสองจะมาติดต่อด้วยตนเองนั้นหาสมควรไม่ แต่เนื่องด้วยข้าพเจ้าเห็นแก่หน้าทางฝ่ายผู้ใหญ่ของท่านทั้งสอง
ซึ่งจะปฏิเสธเสียก็ยังเกรงใจอยู่ อนึ่ง หญิงหนึ่งสองชายจะทำให้ข้าพเจ้าตกลงด้วยได้อย่างไร"
คนทั้งสองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ ท่านเสนาบดีจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
"เพื่อมิให้ท่านทั้งสองผิดหวัง ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า เราควรตั้งเงื่อนไขกฏเกณฑ์ให้มีการแข่งขันกัน
ใครดีกว่า ผู้นั้นก็เป็นผู้มาสู่ขอเม่งลีกุนได้"
คนทั้งสองก็เห็นชอบด้วยและขอทราบถึงหลักเกณฑ์ว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง
ท่านเสนาบดีกล่าวว่า "ท่านทั้งสองจะต้องประกวดฝีมือกันในทิชาฝ่ายทหารและพลเรือน
ทางฝ่ายวิชาการทหารนั้น เพียงแต่ให้ทำการยิงเกาทัณฑ์สามดอกในระยะหนึ่งร้อยก้าวถูกเป้าและอยู่ในศูนย์กลาง
และยิงเชือกที่ผูกเสื้อแขวนอยู่ยนต้นไม้ในระยะไกลตกลงมาก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนทางฝ่ายวิชาการพลเรือนนั้น
จะต้องตอบคำถามที่ท่านเสนาบดีออกเป็นปัญหาให้ได้ถูกต้อง ถ้าแม้นตอบถูกและเป็นที่พอใจ
ก็จะถือว่าเป็นผู้มีชัยในการประกวดประชันครั้งนี้"
ทั้งสองก็ตกลงในความคิดของท่านเสนาบดี เพราะคนทั้งสองนั้นขณะที่ได้สนทนากับท่านเสนาบดีอยู่ก็รู้ว่าท่านเสนาบดีได้ยกปัญหาขึ้นมาเอ่ยถามอยู่บ้าง
และมีความเป็นกันเองอย่างยิ่ง ฉะนั้น จึงนึกกระหยิ่มอยู่ในทีว่า อันวิชาการทหารและพลเรือนน้น
เราทั้งสองก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว และขณะนี้เราทั้งสองก็มีการฝึกซ้อมกันอยู่เสมออีกด้วย
อนึ่ง เล่ากุยเป้กนั้นก็ถือว่าเวลาซ้อมอยู่ด้วยกัน ตนมีฝีมือเหนือกว่าคู่ปรับจึงมีความยินดีและรับข้อตกลงตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกประการ
และได้กำหนดวันประลองฝีมือกันในวันรุ่งขึ้น เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองคนก็ลาท่านเสนาบดีศึกษากลับบ้าน
ฝ่ายเสนาบดีศึกษานั้นเข้าไปข้างในและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางเม่งลีกุนซึ่งเป็นบุตรสาวของตนฟังจนตลอด
นางเม่งลีกุนรู้สึกว่าการกระทำของคนทั้งสองเป็นการผิดมารยาทอย่างมาก แต่เมื่อบิดาได้กล่าวไปแล้ว
จะแก้ไขอย่างไรก็คงเป็นไปมิได้ สำหรับชายหนุ่มทั้งสองคนนี้นางเองรู้สึกพอใจในตัวฮ่วงปู่เสียวมากกว่
จึงมีใขลำเอียงที่จะให้ผู้ที่ตนชอบมีชัยชนะ จึงได้บอกถึงกลอุบายที่ตนคิดวางแผนขึ้นให้ผู้เป็นบิดาทราบว่า
ตนจะขอให้มีการเลี้ยงฉลองอย่างใหญ่โตขึ้นโดยจะมีการเลี้ยงสุราอาหารมากมาย
มีวงสังคีตบรรเลง และมีสาววัยรุ่นแต่งตัวสวยงาม มาร้องรำทำเพลงกล่อมคนทั้งสองให้เพลิดเพลินและมีความสุขใจ
จะได้ทำให้เกิดความมัวเมาเผลอตัวขึ้นมา และขอให้บิดาไต่ถามความรู้ทางหนังสือแก่เล่ากุยเป้กให้มาก
และจงใจที่จะให้เขาตอบได้ เมื่อตอบได้แล้วควรที่จะยกยอและให้รางวัลด้วยเหล้าหนึ่งจอกเสมอไป
เชื่อว่าเล่ากุยเป้กจะต้องมึนเมามากขึ้นเป็นแน่ ส่วนทางฮ่วงปู่เสียวนั้นอย่าได้ไต่ถามอะไรให้มากนัก
เพื่อให้คู่ปรับของเขาเข้าใจว่าท่านเสนาบดีพอใจในตัวเขามากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้นางเม่งลีกุนจะให้นางโซวเอี้ยงเสาะแต่งตัวด้วยผ้าแพรอันมีสีสรรพ์งดงาม
และแต่งหน้าให้เพริศพริ้งเป็นที่ต้องตามาเยี่ยมกรายอยู่หลังมู่ลี่อีกด้านหนึ่ง
ในระหว่างการแข่งขันประลองฝีมือกัน ก็ให้นางโซวเอี้ยงเสาะเยี่ยมหน้าออกมาใช้กลมารยาต่างๆหลอกล่อให้เล่ากุยเป้กเกิดการเข้าใจผิด
คิดว่าเป็นนางเม่งลีกุนมาแอบดู และให้พยายามจนสุดฝีมือทำให้เล่ากุยเป้กผิดพลาดในการยิงเกาทัณฑ์ให้ได้
นางเม่งลีกุนได้ปกปิดความลับไว้ตอนหนึ่ง โดยมิได้กล่าวให้ท่านบิดาทราบนั่นก็คือ
ถ้าหากมีการผิดพลาดเกิดขึ้นทำให้เล่ากุยเป้กได้รับชัยชนะแล้ว นางโซวเอี้ยงเสาะก็อาจแต่งงานแทนตัวของนางได้
เพราะได้เห็นหน้าค่าตากันมาแล้วด้วยการเข้าใจผิด
ผู้เป็นบิดาได้ฟังลูกสาวเล่าถึงแผนการที่จะกระทำจนตลอดแล้ว ก็มีความปลาบปลื้มนึกชื่นชมในความเฉลียวฉลาดและความมีเชาว์ปฏิภาณของลูกสาวตนอยู่ในใจ
แต่หาได้นึกเฉลียวใจไม่ว่า ถ้าหากเหตุการณ์เกิดผิดพลาดขึ้น ลูกสาวตนจะหนีออกจากบ้าน
ดังนั้น จึงสั่งให้หัวหน้าคนใช้เตรียมการงานให้พร้อมสรรพสำหรับงานใหญ่ที่จะมีในวันรุ่งขึ้น
อ้างอิง : ลีกุนหยก เล่ม 1 แปลโดย ธวัช สกุลรัตนะ
สนพ.รวมสาส์น 2518 |