|
เนื้อเรื่องย่อ
:
๑
ออกจากด่านกระบี่
หอกระบี่ทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวนมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า
"ด่านกระบี่" (เกี่ยมมึ้งกวน) เป็นทางเชื่อมระหว่างภูเขาใหญ่น้อยภายในภูเขามีแต่หุบเหว
และทางทุรกันดารมีอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน ปากทางด่านกระบี่คล้ายดั่งปากเสือ
ภายในเต็มไปด้วยภูเขาสูงเทียมฟ้า ระหว่างกลางภูเขาแบ่งออกเป็นช่องแคบๆ ทะลุติดต่อกันหลายร้อยลี้
สองข้างทางของช่องแคบเป็นหน้าผาราบเรียบอันสูงชันเป็นจุดยุทธศาสตร์อันยอดเยี่ยมที่ลือชื่อ
ย่างเข้าเดือนสามปลายฤดูชิวเทียน (ฤดูใบไม้ร่วง) มีเรื่องเล็กๆน้อยๆ เกิดขึ้นจากสถานที่อันลือชื่อแห่งนี้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องราวอันเล็กน้อย แต่ภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน ก็สะท้านสะเทือนไปทั่ววงการบู๊ลิ้ม
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจมองข้ามผ่านไปได้
หลุมฝังศพที่ไม่มีป้ายชื่อหลุมนั้น ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ข้างปากด่านกระบี่ด้านเนินเขาลูกเตี้ยๆ
หลุมนี้มีความสูงจากพื้นเพียงครึ่งเชี๊ยะ บนพื้นมีหญ้าขึ้นจนรกรุงรังคล้ายดั่งไม่เคยมีใครผ่านมาก่อนเลย
ถ้าหากไม่มองอย่างละเอียดก็ยากที่จะพบพานหลุมฝังศพนี้
หลุมฝังศพนี้ตั้งอยู่ภายในหุบเขามาเป็นเวลานานถึงยี่สิบปีแล้ว ตั้งแต่เกิดมีหลุมนี้ขึ้นจนกระทั่งถึงปีที่แปด
ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดมาปัดกวาดเคารพเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอย่างเข้าปีที่เก้า
พลันมีคนมาดูแล นั่นเป็นสตรีที่มีความงดงามผู้หนึ่ง เด็กชายที่มีอายุสามปีกับหญิงรบใช้ที่เป็นใบ้และหูหนวกผู้หนึ่ง
ทั้งสามมาถึงด่านกระบี่ในเวลาปลายฤดูชิวเทียน พักในกระท่อมที่ซ่อนเร้นอยู่ระหว่างหุบเขา
พอถึงวันเช็งเหม็ง (วันไหว้บรรพบุรุษของชาวจีน) ทั้งสามก็มากราบไหว้และทำความสะอาดหลุมฝังศพ
ปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งสตรีผู้นั้นพ้นจากวัยแรกรุ่นย่างเข้าสู่วัยกลางคน
เด็กคนนั้นก็เติบโตจนเป็นหนุ่มน้อยอันสง่างาม
นี่ก็เป็นเวลาเช้าของวันเช็งเหม็งของปีนี้ ฝนโปรยปรายลงจากท้องฟ้าเล็กน้อย
ทั้งสองปัดกวาดกราบไหว้เรียบร้อยแล้ว ก็พากันยืนมองอยู่อย่างเนินนาน คล้ายดั่งมีเรื่องอักอั้นตันใจอยู่มากมาย
"เล้งนี้ มารดาจะไปแล้ว"
"ทราบแล้ว มารดา
"
"เจ้าไม่ต้องเสียใจ สักวันหนึ่ง มารดาจะพาเจ้าไปหาอาอี้ (พี่สาวหรือน้องสาวของแม่)
อย่างแน่นอน"
"ข้าพเจ้าทราบแล้ว มารดา
"
"ถ้าเช่นนั้น เจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอะไร ?"
"ข้าพเจ้าคิดว่า อ้อ ไม่มีอะไร
"
"ไม่ วันนี้เจ้าไม่ยอมเอ่ยปากพูด เจ้าต้องมีเรื่องอยู่ในใจ บอกกับมารดาซิว่าเจ้ากำลังคิดถึงเรื่องอะไร
?"
"ข้าพเจ้ากำลังคิด..คิด
คิดถึงอาอี้ที่อยู่เมืองฮั่งเอี้ยงที่มารดาพูดถึงว่า
มีจริงหรือ
?"
สตรีวัยกลางคนตัวสะท้านขึ้นครั้งหนึ่ง ใบหน้าปรากฏแววตกใจและโทสะ ตาจ้องผู้เป็นบุตรชายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก้มศีรษะลงถอนใจเฮือกใหญ่
ก้มตัวหยิบห่อของที่วางไว้ข้างหลุมฝังศพขึ้น ค่อยๆหันไปทางบุตรชายแล้วกล่าวว่า
"เล้งยี้ เจ้าทำไมถึงเอ่ยคำพูดเช่นนี้มา ?"
เด็กหนุ่มเห็นมารดามีสีหน้าไม่พอใจ ในใจจึงบังเกิดความหวากดหวั่น ก้มศีรษะลงแล้วค่อยๆกล่าวว่า
"ระยะห้าหกปีมานี้ มารดาต้องไปหาอาอี้ที่เมืองฮั่งเอี้ยงในเวลานี้เสมอ
และเมื่อสองปีที่ผ่านมา มารดากล่าวอยู่เสมอว่าข้าพเจ้าอายุยังน้อย ไม่อาจเดินทางไกลได้
แต่ว่าบัดนี้ ข้าพเจ้าก็เติบโตแล้ว ทำไมมารดาจึงไม่ยินยอมให้ติดตามไปสักครั้งหนึ่ง
?"
สตรีวัยกลางคนยืนหลับตานิ่งไปชั่วครู่ ถอนหายใจกล่าวว่า
"มารดาไม่ต้องการให้เจ้าออกไป ต้องการให้เจ้าท่องตำหรับตำราอยู่ภายในบ้าน
และตั้งความหวังไว้ว่าเจ้าจะได้มีชื่อเสียงโด่งดังในทางราชการ เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของบิดาเจ้า
ที่มารดากล่าวมานี้เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?"
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองมารดา ใบหน้าปรากฏแววเร่าร้อนในใจอยู่
"แต่ว่าข้าพเจ้าอยู่ในระหว่างเดินทางอาจท่องตำราได้ คำโบราณกล่าวว่า
เดินทางหมื่นลี้ เปรียบเหมือนท่องหนังสือหมื่นเล่ม หากอยู่แต่ภายในบ้าน ท่องตำราจะมีประโยชน์อะไร
? ดังนั้น
."
สตรีกลางคนไม่รอให้บุตรของนางกล่าวจบ ยกมือขึ้นไปแตะไหล่พลางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวขัดขึ้น
"ตกลง ปีหน้ามารดาจะพาเจ้าออก่องเที่ยว เวลานี้เจ้ากลับไปก่อน อย่ายืนให้เปียกฝนอยู่ที่นี่เลย"
มารดาและบุตรยืนมองกันอยู่ชั่วครู่ และสตรีวัยกลางคนก็ลดมือลงจากบ่าของบุรุษเยาว์วัย
หันหน้ามองดูหลุมฝังศพอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงหันร่างเดินทางจากไปอย่างช้าๆ
บุรุษเยาว์วัยยืนอย่างสงบ ตามองผู้เป็นมารดาที่เดินห่างไปทุกขณะ ดังนั้น
คำถามที่คล้ายดั่งทุกๆปีก็ประดังกันเข้ามา
"ทำไมมารดาจึงไม่ยินยอมให้เราออกจากด่านกระบี่? ทำไมมารดาจึงไม่ทำป้ายชื่อบิดาบนหลุมฝังศพ
หรือว่าบิดาเป็นนักโทษประหารที่หนีมา? ไม่ มารดาบอกว่าบิดาไม่ได้รับราชการ
ชอบท่องเที่ยวไปทุกแห่งหน อายุเพียงสามสิบสองก็เสียชีวิตเพราะโชคร้าย มารดาว่าบิดาชอบด่านกระบี่นี้
จึงนำศพมายังที่นี่ แต่ว่า
."
"สวบ
สวบ
สวบ
"
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงคนเดินดังขึ้นทางเบื้องหลัง
"นางใบ้ชุนบ๊วยที่เราเกลียดมาแล้ว"
คิดเช่นนั้น จึงหันร่างเงยขึ้นมอง พลันตกตลึงอย่างคิดไม่ถึง
ผู้ที่มานั้นไม่ใช่นางใบ้ชุนบ๊วยที่ตนคาด กลับเป็นชายชราผู้หนึ่ง อายุประมาณหกสิบปี
รูปร่างเตี้ยเล็ก ผอมจนเห็นกระดูกซี่โครง ร่างสวมเสื้อคลุมยาวสีดำเก่าและขาดคร่ำคร่า
บนบ่าแบกจอบเหล็กและแขวนถุงผ้าไว้ใบหนึ่ง เท้าก้าวเข้ามาอย่างไม่มั่นคง สืบมาก้าวหนึ่งก็ร้องครางครั้งหนึ่งทั่วร่างมีแต่ความชำรุดทรุดโทรม
เป็นชายชราที่ถูกโรคคุกคามทั่วตัว
เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าบุรุษหนุ่มก็หยุดมองอยู่ชั่วครู่ พลันอุทานเสียงดังอา
.ใบหน้าที่ขาวซีดปรากฏแววคลางแคลงใจออกมา
พลางพูดด้วยเสียงแหบๆว่า
"เจ้า
หนุ่มน้อย เจ้าเป็นใคร ?"
บุรุษหนุ่มเมื่อเห็นชายชรามีสีหน้าและถามอย่างสงสัยก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าตนอาศัยอยู่ในด่านนี้เป็นเวลาถึงสิบสองปี
หมู่บ้านทุกครัวเรือนตนก็รู้จักทั้งสิ้น ไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินมาก่อนเลยว่ามีชายชราผู้นี้
และเพราะเหตุใดจึงแปลกใจถึงกับถามออกมาว่าตนเป็นใคร ?"
บุรุษหนุ่มยกมือขึ้นประสานแล้วก้มศีรษะลงเล็กน้อย พลางตอเสียงอ่อนโยนว่า
"ข้าพเจ้าเซี่ยงกัวม่อเล้ง อาศัยอยู่ในกระท่อมอันซ่อมซ่อ ณ หุบเข้านี้
ขอน้อมถามชื่อของท่านผู้เฒ่า และเหตุใดในวันนี้จึงเดินทางมายังที่เปล่าเปลี่ยวแห่งนี้
?"
ชายชราร้องดังอืมม์แล้วพยักหน้า รีบเปลี่ยนสีหน้าสู่ปกติ ยกจอบและวางถุงลง
แล้วค่อยๆนั่งลงบนก้อนหินข้างหลุมฝังศพ หัวร่อพลางกล่าวว่า
"เล่าฮูเป็นชาวฮ่อน้ำ แซ่ช้า ชีก่อเอี้ยซิว
"
คำว่า "ซิว" ยังไม่ทันขาดปาก ตาเหลือบไปเห็นกองกระดาษเงินทองที่เผาแล้ว
พลันอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เงยสายตามองเซี่ยงกัวม่อเล้งพลางว่า
"หนุ่มน้อย พวกกระดาษนี้เจ้าเป็นคนเผาเองหรือ ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้งผงกศีรษะกล่าวว่า
"ถูกแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันเช็งเหม็ง
."
ใบหน้าของชายชราปรากฏแววละอายใจขึ้น พลางถอนหายใจกล่าวว่า
"โอ น่าละอายใจยิ่งนัก เป็นเวลาถึงยี่สิบปีเต็มๆ ตลอดเวลาเล่าฮูไม่อาจจะมาเคารพทำความสะอาดได้แม้สักครั้งหนึ่ง
"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า
"ท่านผู้เฒ่ารู้จักกับบิดาผู้ล่วงลับของข้าหรือ ?"
ชายชราไอหอบอยู่ชั่วครู่ พลางส่ายศีรษะกล่าวว่า
"ไม่..เล่าฮู..แค๊กๆ เล่าฮูจะรู้จักกับบิดาเจ้าได้อย่างไร ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง คลางแคลงใจยิ่งขึ้น ถามอีกว่า
"ท่านผู้เฒ่าหากไม่รู้จักบิดา แล้วทำไมถึงพูดว่าไม่อาจมาเคารพหลุมฝังศพนี้ได้
?"
ชายชราหัวร่อพลางกล่าว
"เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เล่าฮูหมายถึงภรรยาของข้าเองโอกระดูกของนางได้ฝังอยู่ที่นี่นานถึงยี่สิบปีแล้ว
วันนี้เล่าฮูจะมาเอากระดูกของนางกลับไป"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง รีบถามอย่างเร่งร้อนว่า
"ท่านผู้เฒ่ากล่าวเช่นไร ? ท่านจะนำกระดูกของภรรยาขึ้นมา แล้วหลุมไหนเป็นที่ฝังศพของภรรยาท่าน
?"
ชายชราหยุดไอ หันหน้ามองดูหลุมฝังศพที่โดดเดี่ยวนั้นพลางกล่าวว่า
"ก็หลุมนี้แหละ โอ เมื่อยังมีชีวิตอยู่นางขยันที่สุดแต่ว่าเล่าฮูกลับเป็นคนที่เกียจคร้านที่สุด
ถ้าหากนางรู้ว่าข้าเพิ่งจะมาเอากระดูกของนางไป นางต้องโกรธแค้นอย่างแน่นอน"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง เห็นชายชราพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายดั่งหยอกล้อ จึงรีบกล่าวขึ้น
"ท่านผู้เฒ่าคงจะจำผิดแล้ว หลุมนี้เป็นหลุมฝังศพของบิดาข้าพเจ้า"
ชายชราเห็นบุรุษหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ก็หัวร่อออกมาดังฮาฮากล่าวว่า
"อา ช่างเป็นเรื่องประจวบเหมาะอะไรอย่างนี้ ศพของภรรยาข้านี้ข้าเป็นผู้ลงมือฝังเอง
หรือว่าเจ้าได้เห็นกับตาว่าศพของบิดาเจ้าได้ฝังอยู่ในหลุมนี้ ?"
"ไม่ เวลาที่บิดาล่วงลับ ข้าพเจ้ายังอยู่ในครรภ์ แต่ว่าหลุมนี้ฝังศพบิดาข้าพเจ้าแน่นอน"
ชายชราหยุดหัวร่อ ดวงตาที่ฝังอยู่ในใบหน้าอันขาวซีดทั้งคู่ ปรากฏแววเหี้ยมเกรียมออกมา
ถามเสียงหนัก
"เจ้าพูดอย่างแน่ใจเช่นนี้ มีสิ่งไรเป็นพยานหรือ ?"
"มารดาข้าพเจ้าย่อมเป็นพยาน"
"มารดาเจ้าขณะนี้อยู่ที่ใด ?"
"มารดาเพิ่งออกเดินทางไปเมืองฮั่งเอี้ยง"
ชายชราขมวดคิ้วนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เย็นชามองไปรอบๆพลางกล่าวว่า
"เล่าฮูไม่เชื่อว่าจะดูผิด หนุ่มน้อยเจ้าไม่เป็นประสาในเรื่องฝีมือทางยุทธจักรใช่ไหม
?"
"ข้าพเจ้ารู้จักแต่ท่องตำรา ฝีมือทางยุทธจักรนั้นหารู้จักไม่"
ชายชราพยักหน้า เดินมาเบื้องหน้าหนุ่มน้อยพลางจ้องมองแล้วกล่าวว่า
"เราคิดว่าครอบครัวของเจ้าต้องมีปัญหาอยู่ ขณะนี้มารดาของเจ้าก็ไม่อยู่
เล่าฮูจะว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่เชื่อ ข้าต้องเอากระดูกภรรยาของข้าออกมา เวลาที่นางตายบนผมมีปิ่นหยกปักอยู่อันหนึ่ง
สวมกำไลหยกทั้งสองข้าง ที่เท้าซ้ายมีรอยแผลเป็นถูกมีดบาดอยู่ ดังนั้น จะใช่บิดาของเจ้าหรือภรรยาของข้าเรามาดูให้รู้กัน"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ได้ยินว่าชายชราจะพังหลุมฝังศพเพื่อพิสูจน์กระดูก ก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
กล่าวด้วยเสียงแค้นเคืองว่า
"ไม่ได้ ท่านผู้เฒ่าเองยังไม่เคยมาทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วจะมาทำลายหลุมฝังศพของคนอื่นได้อย่างไร
?"
ชายชราคล้ายดั่งไม่ได้ยินคำที่เซี่ยงกัวม่อเล้งกล่าว หยิบจอบขึ้นมาพลางลงมือขุดหลุมทันที
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ตื่นตกใจยิ่งนัก รีบกระโดดเข้ามาคว้าข้อมือชายชราเอาไว้
พลางตะโกนว่า
"หยุด อย่าทำ ท่านผู้เฒ่าทำไมถึงเลอะเทอะอย่างนี้ ?"
ชายชราขมวดคิ้วร้องเฮอะ พลางปัดมือของชายหนุ่มออก กล่าวเสียงเคร่งเครียด
"เอาอย่างนี้เถอะ เมือ่เล่าฮุขุดออกมามิใช่ศพของภรรยา เล่าฮูยินดีมอบศีรษะให้เจ้า"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ตะโกนขึ้นมา
"ไม่ ข้าพเจ้าจะเอาศีรษะท่านไปทำไม"
ใบหน้าของชายชราปรากฏแววแค้นเคืองกล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ก่อกวนอย่างไม่มีเหตุผล นั่งลงไปเสีย"
กล่าวจบ พลางยื่นมือไปตบที่บ่าของเซี่ยงกัวม่อเล้งครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มสะดุ้งไปทั้งตัวแล้วรู้สึกว่าทั่วร่างค่อยๆแข็งขึ้น
แล้วค่อยๆเอนไปทางเบื้องหลัง ชายชราพลางยื่นมือซ้ายมาจับที่บ่า แล้วจี้จุดใบ้ที่ด้านหลังศีรษะไปเบาๆครั้งหนึ่ง
จึงอุ้มให้นั่งหันหน้าใกล้หลุมฝังศพ แล้วเดินไปหยิบจอบขึ้นมาขุดอีก
เซี่ยงกัวม่อเล้ง คิดจะขยับตัวหรือส่งเสียงด่าก็ไม่ได้ ตาได้แต่จ้องชายชราช้าเอี้ยวซิวลงมือขุดหลุม
ในใจก็ครุ่นคิดว่า ตนเพียงแต่ถูกฝ่ายตรงข้ามตบและจี้เบาๆเท่านั้น ทั่วทั้งตัวก็แข็งทื่อแล้วยังอ้าปากไม่ได้อีกด้วย
นี่มันเป็นมายากลชนิดใดกัน ? คำถามนี้ได้แต่วนเวียนอยู่ในสมอง ตาก็จ้องอย่างตื่นตะลึง
ชายราขุดไปเพียงห้าหกครั้งก็สามารถทำฝาครอบแตกหมด ภายในหลุมไม่มีโลง มีแต่กองกระดูกสีเทาอยู่กองหนึ่งเท่านั้น
ใบหน้าชายชราปรากฏแววรันทด ค่อยๆวางจอบลงแล้วปัดดินที่เกาะกระดูกออก พลางเดินไปเบื้องหน้าเซี่ยงกัวม่อเล้งแล้วกล่าวว่า
"หนุ่มน้อย เวลาที่ฝังของบิดาเจ้า ใช้โลงใส่ศพหรือเปล่า ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง คิดจะพูดว่ามี แต่ตัวของตนขยับและอ้าปากไม่ได้ ชายชราพลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนได้จี้จุดใบ้ไว้
จึงอดหัวร่ออกมามิได้ พลางยื่นมือออกไปตบที่ด้านหลังครั้งหนึ่ง เซี่ยงกัวม่อเล้ง
ครางออกมาเบาๆ ทั่วทั้งตัวสะท้านขึ้นเฮือกใหญ่ ร่างพลันเคลื่อนไหวได้ จึงรีบกระโดดขึ้นมาวิ่งตรงไปหลุมฝังศพ
มองไปในหลุม พลันหน้ามืดตาลายทันที ที่โครงกระดูกในหลุมนั้นปรากฏข้อมือมีกำไลหยกคู่หนึ่ง
บนศีรษะมีปิ่นปักผม และเท้าซ้ายมีรอยแผลเป็นอยู่ ถูกต้องทุกประกาตามที่ชายชรากล่าวดังนั้น
จึงรู้สึกคล้ายสายฟ้าฟาดใส่ ตะโกนเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งล้มลงไปทันที
มิทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เซี่ยงกัวม่อเล้ง ค่อยๆรู้สึกตัวขึ้น ก็เห็นชายชราผู้นั้นเก็บกระดูกใส่ถุงผ้า
หลุมก็ถูกกลบเรียบร้อยเหมือนเดิม จึงค่อยๆยันกายลุกขึ้น สองมือจับที่บ่าชายชราเขย่าไปมาพลางกล่าวเสียงสั่นเครือว่า
"บอกกับข้าพเจ้าๆทำไม มารดาจึงหลอกข้าพเจ้า ?"
ชายชราส่ายศีรษะช้าๆกล่าวว่า
"เรื่องนี้เล่าฮูไม่อาจตอบได้ มารดาเจ้าชื่ออะไร ?"
"ชื่อหลิวเอี้ยฮั้ว บิดาผู้ล่วงลับคือเซัยงกัวมั่งฮุ้ง"
ชายชราได้ยินพลันสะดุ้งเฮือก ดวงตาจ้องอย่างแน่วนิ่งอีกครั้ง แล้วก็ส่ายศีรษะแสดงว่าไม่รู้จัก
พลันยกถุงผ้าขึ้นพร้อมๆกับจอบค่อยๆเดินจากไป
ใบหน้าของเซี่ยงกัวม่อเล้งเต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองจนชายชราลับตาไป จึงตะโกนด้วยเสียงอันรันทด
แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วตรงไปยังกระท่อมทันที
เวลานี้ใกล้พลบค่ำแล้ว ฝนเม็ดเล็กยังคงหล่นประปรายอยู่ เซี่ยงกัวม่อเล้งกลับมาด้วยความเสียใจ
วิ่งมาที่กระท่อมที่ลับเร้นอยู่ในหุบเขา ตรงเข้าไปในห้องขังตัวเอง แล้วล้มตัวลงบนเตียงร่ำไห้พลางคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
มารดและตนอาศับอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กอย่างมีความสุข โดยไม่มีเหตุการณ์อย่างไรเกิดขึ้น
แต่เมื่อตนอายุได้สิบปีให้หลัง มารดาต้องไปหาอาอี้ที่ฮั่งเอี้ยงทุกปีในวันเช็งเหม็ง
ตนไม่เคยพบปะอาอี้ผู้นั้น และมารดาก็ไม่ยินยอมให้พบ นั่นเป็นเรื่องที่น่าขบคิดยิ่งนัก
ยังมีอีก ตนไม่คิดว่ามารดาจะปิดบังเรื่องที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เอาหลุมฝังศพของคนอื่นอ้างเป็นหลุมฝังศพของบิดาตน
ทำให้ตนต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวง ความร่าเริงแจ่มใสที่มีอยู่เปลี่ยนแปลงไปทันที
สวรรค์เอ่ย หลุมนั้นไม่ใช่ที่ฝังศพบิดา แต่ว่ามารดาซิมาหลอกเรา เพราะเหตุใด
นี่เป็นเพราะเหตุใด ?
"ก๊อกๆๆๆ"
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายความเงียบ เซี่ยงกัวม่อเล้ง รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูอย่างแรงพูดด้วยความโกรธ
"ไป ออกไป เราไม่กินข้าว เจ้าไปให้ไกลๆ"
ที่หน้าประตูมีสตรีร่างอัปลักษณ์อายุประมาณสามสิบปียืนอยู่ สตรีผู้นี้คือนางใบ้ชุนบ๊วยนั่นเอง
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ มือยกสำรับกับข้าวขึ้นคล้ายดั่งจะพูดว่า
"เสี่ยวเอี้ย ได้เวลารับประทานอาหารแล้ว"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง โบกมือขึ้นไป กล่าวด้วยเสียงโกรธอีกว่า
"ออกไป บอกแล้วว่าเราไม่ต้องการ รีบๆออกไป"
วันนี้นางใบ้ชุนบ๊วยไม่อาจจะตามมารดาไปฮั่วเอี้ยงได้ ในใจก็มีความคับแค้นอยู่แล้ว
ยังมาถูกเสี่ยวเอี้ยไล่ด้วยบันดาลโทษะ จึงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย หันหลังยกสำรับกับข้าวออกไปที่โต๊ะนั่งกินเงียบๆ
ฟ้ามืดลงแล้ว นางใบ้ชุนบ๊วยเรียกให้ตนไปกินอาหารอีก แต่เขาก็ได้ไล่นางออกไป
ดึกแล้ว เพราะเขาคิดถึงจนมึนงงศีรษะ จึงค่อยๆหลับไป
"
ภายในเวลานั้น ที่นอกกระท่อมมีอาคันตุกะยามราตรีมายืนอยู่ ชายประหลาดผู้นั้นมีรูปร่างเตี้ยเล็ก
ทำลายกลอนเปิดประตูเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ตากวาดมองไปทั่วทั้งห้องโถง เมื่อไม่ปรากฏผู้ใด
ก็ลงมือค้นคล้ายหาสิ่งของอยู่ทั่วทุกมุมของกระท่อม เวลาผ่านไปชั่วครู่ ภายในห้องโถงถูกค้นจนหมดสิ้นก็ไม่ปรากฏว่าพบเห็นสิ่งไร
?
มันหยุดยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ ตามองกวาดไปบนหลังคาที่มุงด้วยหญ้าแฝก ทันใดนั้น
ขยับร่างลอยขึ้นไปบนหลังคา มือขวาเกาะแน่นอยู่บนขื่อ มือซ้ายค่อยๆควานจนถึงมุมไม้ที่ต่อกัน
พลันชักดาบโบราณด้ามหนึ่งยาวประมาณสามศอกออกมา
มันกระโดดลงมาที่พื้นห้อง แล้วค่อยดึงดาบออกจากฝัก ขณะนั้นปรากฏเสียงคล้ายมังกรคำรามขึ้นเบาๆทั่วห้องโถงที่แสงสว่างเรืองรองสาดกระจายไปทั่วจากดาบด้ามนั้น
ที่แท้เป็นดาบที่มีลายมังกรทองอันงามจับตาด้ามหนึ่ง
"เฮอะ
กิมเล้งเกี่ยม (ดาบมังกรทอง) ที่แท้ไม่อยู่เหนือที่คาดคิด
"
มันจ้องดาบเล่มนั้นแล้วกล่าวพึมพัมขึ้น มือที่ถือสั่นเล็กน้อย ในเวลานั้น
ได้ยินเสียงประตูห้องทางด้านซ้ายดังโครม แล้วปรากฏคนผู้หนึ่งออกมา เป็นนางใบ้ชุนบ๊วยนั่นเอง
มือของนางถือกระบี่เหล็กเขียวด้ามยาวตรงมา พุ่งเข้าที่ตัวคนผู้นั้น ยกกระบี่ขึ้นฟันใส่ศีรษะทันที
แต่คนผู้นั้นเพียงหมุนกายออกมาเล็กน้อยก็หลบกระบี่ได้ แล้วหันหน้าไปทางประตูด้านขวาของห้องโถงตะโกนเสียงดังว่า
"เซี่ยงกัวม่อเล้ง เจ้าออกมานี่ซิ"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง กำลังนอนหลับอยู่ พลันตกใจตื่นขึ้นรีบกระโดดลงจากเตียง
วิ่งออกมาเปิดประตู ก็เห็นนางไบ้ชุนบ๊วยกำลังฟาดฟันกระบี่เข้าใส่ชายชราที่มาขุดกระดูกนามช้าเอี้ยซิว
จึงตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วโบกมือรีบกล่าวว่า
"ชุนบ๊วย อย่าทำอันตรายเขา เจ้า
"
แต่ต้องตกตะลึงจนตาค้างไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก
กระบี่ในมือของนางใบ้กวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่วเพลงแล้วเพลงเล่าต่อเนื่องกันอย่างไม่ติดขัด
ฟาดฟันใส่ชายชราผู้นั้น แต่ละเพลงกระบี่มีความดุเดือดเหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง
แต่ว่าชายชราผู้นั้นกลับไม่มีแวววุ่นวาย เพียงแต่หมุนกายหลบไปมา ก็สามารถหลบคมกระบี่ของนางได้โดยไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเหตุที่ทำให้เซี่ยงกัวม่อเล้งตกตลึงไป ถึงแม้ว่าตนจะไม่รู้เรื่องวิชากำลังฝีมือหรือกำลังยุทธจักร
แต่ว่าตนก็พอดูออกว่านางใบ้ชุนบ๊วยมีฝีมือในขั้นที่ดูถูกมิได้ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้ตนแปลกใจยิ่งนัก
"นางใบ้ชุนบ๊วยที่แท้เป็นผู้มีฝีมือทางยุทธจักร" นางได้ติดตามตนและมารดามาร่วมยี่สิบปี
ทุกวันก็จัดการเรื่องงานบ้านและครัว หัวสมองก็นับว่าโง่เขลากว่าเจ้าลาดำของเขามาก
ถึงแม้ว่านางมีดาบก็จริงแต่ก็ไม่เคยพบเห็นนางฝึกวิชาเลย แล้วตนจะรู้ได้อย่างไรว่านางมีฝีมือ
และกระบี่ด้ามยาวนี้นางเอามาจากที่ใด นี่เป็นเรื่องราวที่น่าขบคิดยิ่งนัก
ขณะที่เซี่ยงกัวม่อเล้งกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น พลันเห็นนางใบ้ชุนบ๊วยฟันกระบี่เข้าใส่ชายชราอย่างอำมหิตรวดเดียวสามกระบวนท่า
เพื่อตเองการฆ่าชายชราผู้นี้ให้ได้เมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจยิ่งนัก กลัวทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บ
จึงรีบโบกมือแล้วตะโกนขึ้น
"ชุนบ๊วย เจ้ารีบหยุดมือไว้ก่อน เรามีปากพอเจรจากันได้"
ตนถึงกับลืมไปว่า ชุนบ๊วยเป็นสตรีใบ้ที่ไร้คำพูด
ชายชราหัวร่อพลางกล่าวต่อ
"ถูกแล้ว เราพูดกันได้ พวกเราไม่มีความอาฆาตแค้นต่อกัน ทำไมนางถึงต้องการฆ่าเล่าฮูให้ได้"
นางใบ้ชุนบ๊วยปากร้อง "แบ๊ะ แบ๊บ" แล้วร่ายรำกระบี่ขึ้นอีก คล้ายดั่งว่าหากไม่ได้ชีวิตชายชราแล้วไม่ยอมหยุดมือ
"ฮ่า ฮ่า"
ชายชราเกิดโทษะขึ้นมา เสียงหัวร่อยังไม่ทันจบ พลันดึงดาบมังกรทองที่ซ่อนอยู่หลังข้อศอก
ยกขึ้นรับกระบี่ไปครั้งหนึ่ง แสงทองแผ่กระจายจากดาบไปทั่ว ได้ยินเสียงดัง
"ตัง" ขึ้นครั้งหนึ่ง กระบี่ยาวในมือของนางใบ้ชุนบ๊วยกระเด็นหลุดจากมือ
พุ่งขึ้นบนหลังคาทะลุผ่านออกไป
เซี่ยงกัวม่อเล้ง รู้ทันทีว่าชายชราผู้นี้มีฝีมือสูงกว่าชุนบ๊วยมากมาย จึงกลัวว่านางใบ้จะได้รับอันตรายรีบกล่าวว่า
"ท่านผู้เฒ่าโปรดออมมือ นางเป็นคนใบ้"
ชายชราอุทานขึ้นมาครั้งหนึ่ง แล้วสอดดาบเข้าฝักตามเดิม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกล่าวว่า
"ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง นางใบ้มาแต่กำเนิดหรือ"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ผงกศีรษะกล่าว
"ถูกแล้ว นางเป็นมา
"
กล่าวยังไม่ทันขาดคำ รู้สึกตาลายวูบหนึ่ง ก็ถูกนางใบ้อุ้มวิ่งออกมานอกกระท่อม
แต่อุ้มออกมาที่ลานหน้าบ้านก็เห็นชายชรายืนยิ้มอยู่เบื้องหน้าตนทั้งสองแล้ว
"บ๊ะ" นางใบ้ร้องออกมาด้วยเสียงประหลาด อุ้มเซี่ยงกัวม่อเล้งวิ่งออกไปทางซ้าย
ชายชราผู้นั้นขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็พุ่งตัวมายืนดักหน้าทั้งสอง นางวิ่งไปทางขวาเหตุการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ใบหน้าของนางใบ้ปรากฏแววร้อนรนขึ้น พลันก้มลง "พูด" ว่า
"เสี่ยวเอี้ยรีบหนีเอาตัวรอด เจ้าเฒ่าผู้นี้เป็นคนของ "จุ้ยเจียเก็ง"
(วังแก้วผลึก) มันจะฆ่าท่าน"
พูดจบก็โยนร่างเซี่ยงกัวม่อเล้งออกไป
ร่างของเซี่ยงกัวม่อเล้งถูกโยนขึ้น อยู่สูงจากพื้นดินเชี้ยะกว่า กำลังว้าวุ่นใจอยู่พลันได้ยิน
.นางที่เป็นใบ้มาร่วมยี่สิบปีนามชุนบ๊วย
กำลังเอ่ยปากพูดกับตน
ทำให้ตื่นตกใจยิ่งนัก แม้ร่างของตนตกลงมากระแทกพื้นก็ลืมความเจ็บปวดไปสิ้น
รีบลุกขึ้นถามว่า
"ชุนบ๊วย เจ้าทำไมเอ่ยปากพูดได้ ?"
พูดจบพลันตาลายขึ้นวูบหนึ่ง ก็ยืนตกตลึงไปอีกครั้ง
ที่แท้ภายในเวลานั้น ชุนบ๊วยได้ล้มลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น เพราะถูกชายชราจี้จุดอัมพาตและจุดใบ้ที่ตนถูกจี้มาแล้ว
ชายชราผู้นั้นเดินช้าๆตรงเข้ามา แล้วหัวร่อกล่าวว่า
"เซี่ยงกัวม่อเล้ง เจ้าถูกมารดาหลอก นางใบ้ผู้นี้ก็หลอก เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่
?"
สายตาเซี่ยงกัวม่อเล้งจ้องนิ่งอยู่ที่ร่างชุนบ๊วยปากพึมพัมขึ้นอย่างแช่มช้า
"นั่นซิ ข้าพเจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่ ?"
ชายชราเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึม กล่าวขึ้นด้วยเสียงหนักๆ
"เจ้าแซ่ "เซี่ยงกัว" เรื่องราวอื่นๆ เล่าฮูพอจะบอกเจ้าได้"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ตกใจจสดุ้ง ถอยหลังไปหลายก้าวพูดว่า
"ชุนบ๊วยบอกว่าท่านเป็นคนของจุ้ยเจียเก็ง (วังแก้วผลึก) ท่านเป็นศัตรูของครอบครัวข้าพเจ้า
? ท่านจะฆ่าข้าพเจ้า ?"
ชายชราหยุดเดินหัวร่อด้วยเสียงคลุมเครือกล่าวว่า
"อย่าไปฟังคำพูดอันเหลวไหล เล่าฮูจะฆ่าเจ้าทำไม ?"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าทำไมถึงบุกเข้ามาในกระท่อมของข้าพเจ้า ?"
ชายชรายกดาบในมือขึ้น ยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า
"มาค้นหา "ดาบมังกรทอง" ที่สาบสูญไปสิบกว่าปี บัดนี้ "ดาบมังกรทอง"
ถูกเล่าฮูค้นพบแล้ว"
"ค้นมาได้จากกระท่อมนี้"
"ถูกแล้ว มันถูกซ่อนอยู่บนเพดานของกระท่อม"
"มันเป็นอาวุธคู่มือของท่านผู้เฒ่าหรือ ?"
"ไม่ เป็นของซือตี๋ผู้หนึ่งของเล่าฮู"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ไม่เข้าใจเรื่องกำลังฝีมือ ดังนั้น จึงไม่คิดว่าดาบเล่มนั้นเป็นของล้ำค่า
กล่าวว่า
"หากว่าเป็นของซือตี๋ท่าน จงเอาคืนไปก็แล้วกัน"
ชายชราจ้องนิ่งอยู่ชั่วครู่ ยิ้มน้อยๆกล่าวว่า
"เวลานี้คิดว่า มีแต่ต้องมอบให้แก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขา เพราะว่าเขาได้หายไปอย่างลึกลับพร้อมกับดาบมังกรทองด้ามนี้"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง สดุ้งอีก รีบกล่าวว่า
"ท่านผู้เฒ่ากำลังคลางแคลงในตัวมารดาว่า
"
ชายชรากล่าวตัดคำพูดขึ้น
"ขณะนี้อย่าเพิ่งกล่าวกระไรมากนัก เล่าฮูจะถามเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ภายในกระท่อมของเจ้ามีหยกหอมที่แกะสลักเป็นมังกรเก้าตัวก้อนหนึ่งหรือไม่
?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ถามขึ้นว่า
"นั่นเป็นสิ่งของๆซือตี๋ท่านที่สูญหายไปอีกหรือ"
"ถูกแล้ว มันมีชื่อเรียกว่า เก้าเล้งเฮียงเง็กป๋วย (หยกทองเก้ามังกร)
มีคุณค่ามากกว่าดาบมังกรทองด้ามนี้ เล่าฮูต้องค้นหากลับไปให้ได้"
"ภายในกระท่อมของข้าพเจ้าไม่มีวัตถุเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าไม่เชื่อโปรดเข้าค้นได้"
ชายชรานิ่งไปชั่วครู่ พลางถอนหายใจกล่าวว่า
"หรือว่ามารดาเจ้าพกติดตัวไปด้วย เออ หลายปีมานี้ มารดาให้ความสุขแก่เจ้าดีหรือไม่
?"
"ดีมาก นอกจากเรื่องหลุมฝังศพนั้น ไม่ทราบว่าเหตุใดมารดาจึงต้องหลอกข้าพเจ้า
"
"เดี๋ยวนี้เจ้าก็รู้ว่า ความเป็นหรือความตายของบิดาเจ้ามีปัญหาอยู่
เจ้ามีความคิดเช่นไร ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ขมวดคิ้วครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
"ข้าพเจ้าจะรีบเดินทางไปหามารดาที่ฮั่งเอี้ยง ถามไถ่ให้ละเอียด"
"เหมาะทีเดียว เล่าฮูจะเป็นเพื่อนเดินทางของเจ้าจนไปถึง เก้างี้ซัว
(ภูเขาเก้าธัมมะ) ต่อจากนั้นเจ้าก็เดินทางไปหามารดาที่ฮั่งเอี้ยงเอง"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ได้ครุ่นคิดตกลงใจที่จะเดินทางไปหามารดาที่ฮั่งเอี้ยงตั้งแต่อยู่ในห้อง
แต่ตนตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเดินออกจากด่านกระบี่เลย กำลังเป็นทุกข์เรื่องการเดินทางอยู่
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ยินดียิ่งนักรีบกล่าวว่า
"โอ ดีมากทีเดียว ท่านผู้เฒ่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่ภูเขางี้ซัวกระมัง ?"
ชายชราสั่นศีรษะ
"หามิได้ ในวันขึ้นห้าค่ำเดือนห้าที่จะถึงนี้ บนภูเขาเก้างี้ซัว (ภูเขาเก้าธัมมะ)
มีงานชุมนุม เก้าเล้งเต็งหวย (งานชุมนุมโคมเก้ามังกร) ที่ชนชาวบู๊ลิ้มรอคอย
เล่าฮูจะไปร่วมานด้วย"
"อะไรเรียกว่า เก้าเล้งเต็งหวย (งานชุมนุมโคมเก้ามังกร) ?"
ชายชราพูดเสียงหนักแน่นว่า
"เรื่องนี้พูดออกมาก็ยืดยาวอย่างยิ่ง เล่าฮูจะเล่าให้เจ้าฟังพอรู้เรื่องเล็กน้อย
คำว่า เก้าเล้งเต็งหวย นี้ที่แท้ก็หมายถึงศิษย์พี่น้องเก้าคน ซึ่งทุกๆปีต้องมาจุดโคมมังกรและถามไถ่ทุกข์สุขกัน
ศิษย์พี่น้องทั้งเก้านี้เป็นชนชาวบู๊ลิ้มที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีวิชาและกำลังฝีมือยอดเยี่ยม
เป็นศิษย์ของยอดอัจฉริยะแห่งบู๊ลิ้มเมื่อสี่สิบปีก่อน ซึ่งมีนามว่าเก้ายู้ซิงแซ
(บุรุษเก้าวิชา) มีฝีมือเลิศล้ำ ในวัยชราได้รับพวกมันทั้งเก้าเป็นศิษย์ สอนวิชาให้คนละวิชาและปลีกตัวออกจากวงการบู๊ลิ้ม
ต่อมาเมื่อทั้งเก้าฝึกขนสำเร็จและออกประกอบวีรกรรมในวงการแล้ว ก็ได้นัดมาชุมนุมจุกโคมมังกรและแข่งขันกำลังภายในกัน
การชุมนุมนี้มีมาเป็นเวลายี่สิบปีแล้ว ในห้าปีแรก ผู้ที่ขึ้นไปจุดโคมก่อนทุกครั้งเป็นศิษย์คนที่เก้าของเก้ายู้ซิงแซ
(บุรุษเก้าวิชา) มันมีสมองอันปราดเปรื่องและฝีมือยอดเยี่ยมกว่าศิษย์ผู้พี่ทั้งแปด
ดังนั้นจึงถูกชาวบู๊ลิ้มตั้งฉายาให้ว่า กิมเล้ง (มังกรทอง) แต่ว่าภายในปีที่หกให้หลัง
ก็เป็นเวลานานถึงสิบสี่ปีแล้ว กิมเล้ง (มังกรทอง) ผู้นั้นไม่ได้ไปจุดโคมที่เก้างี้ซัว
ร่องรอยของมันได้หายสาปสูญไปจากวงการบู๊ลิ้ม ศิษย์ผู้พี่ทั้งแปดของมันออกค้นหาทั่วทุกแห่งหน
ก็ไม่พบร่องรอยข่าวคราวใดๆเลย แต่ว่า ในวันขึ้นห้าค่ำเดือนห้าเมื่อหกปีก่อน
ขณะที่แปดมังกรศิษย์ผู้พี่กำลังขึ้นหน้าผาจุดโคม พลันเห็นโคมมังกรทองถูกจุดสว่างขึ้น
พวกมันจึงคิดว่าซือตี๋ (ศิษย์ผู้น้อง) ได้กลับมาร่วมชุมนุมแล้ว แต่เมื่อพุ่งขึ้นไปถึงหน้าผา
กลับไม่เห็นเงาของผู้ใดเลย เวลาผ่านมาอีกสี่ปี ถึงเวลาที่เก้ามังกรนัดชุมนุมกันก็เห็นโคมมังกรทองได้ถูกคนลอบจุดขึ้น
แปดมังกรถึงแม้มีวิชาฝีมือสะท้านบู๊ลิ้ม แต่ไม่อาจจับตัวผู้ลอบจุดโคมได้
ในปีนี้ พวกมันตั้งใจจะจับคนผู้นั้นให้ได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงเป็นข่าวที่ครึกโครมไปทั่ววงการบู๊ลิ้ม
ชนชาวนักสู้ทุกผู้คนต่างก็คิดที่จะไปร่วมดูเหตุการณ์ครั้งนี้ นี่ก็คือเหตุผลอย่างย่อๆของการชุมนุม
เก้าเล้งเต็งหวย (งานชุมนุมโคมเก้ามังกร) เจ้าฟังแล้วรู้สึกสนใจหรือไม่ ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ฟังอย่างสนใจอย่างยิ่ง จึงถามว่า
"ศิษย์คนที่เก้าของเก้ายู้ซิงแซผู้นั้น ชื่อว่าอะไร ?"
ชายชราหัวร่อพลางตอบ
"ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง เจ้ากับมันแซ่เซี่ยงกัวเหมือนกัน ชื่อเทียนย้ง
ฉายากิมล้ง (มังกรทอง)"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ไได้ยินคำว่ามังกรทอง พลางสดุ้งครั้งหนึ่ง รีบถามอีก
"ท่านผู้เฒ่าก็เป็นหนึ่งในเก้ามังกร ?"
ชายชราผงกศีรษะช้าๆ กล่าวว่า
"เล่าฮูนับเป็นคนที่หก ฉายาอันเลวทรามคือ แป่เล้ง (มังกรป่วย) มีกำลังฝีมือเลวที่สุดในหมู่มังกรทั้งเก้า"
"ถ้าเช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าค้นพบดาบมังกรทองด้ามนั้นในกระท่อมของข้าพเจ้า
ก็คืออาวุธคู่มือของเซี่ยงกัวเทียนย้งผู้นั้น ?"
"เจ้ากับเราไม่รู้จักกัน หากเล่าฮูว่าใช่ เจ้าจะยินยอมเชื่อหรือ ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ท่องตำรามาตั้งแต่เยาว์วัย ในตำราก็ได้บ่งบอกถึงลักษณะคน
ดังนั้น จับจ้องไปชั่วครู่ใหญ่ทั่วใบหน้าของฝ่ายตรงข้าม ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความหมองมัว
แต่ก็ไม่ปรากฏแววโหดร้าย จึงผงกศีรษะตอบว่า
"ข้าพเจ้าเชื่อ ท่านผู้เฒ่าเชิญพูดตามสดวก"
แป่เล้ง (มังกรป่วย)ช้าเอี้ยซิวหลับตาไปชั่วครู่ ส่ายศีรษะกล่าวว่า
"ถึงแม้เจ้าจะเชื่อ แต่เล่าฮูกลับไม่ชอบพูดมาก หากเจ้าต้องการดูให้สนุก
ก็ตามเล่าฮูไปดูที่เก้างี้ซัวก่อนแล้วค่อยไปหามารดาเจ้าที่ฮั่งเอี้ยง บาทีเจ้าอาจจะรู้ซึ้งถึงเงื่อนงำในเรื่องนี้ก็ได้"
ในใจของเซี่ยงกัวม่อเล้งเร่าร้อน ที่จะออกไปถามไถ่มารดาให้รู้แจ้ง ขณะเดียวกันแป่เล้งช้าเอี้ยซิวก็มาพูดเรื่องของกิมเล้งเซียงกัวเทียนย้งอีก
ก็ยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น จึงรีบเงยหน้าดูท้องฟ้า กล่าวว่า
"ตกลง สว่างแล้ว ข้าพเจ้าจะตามท่านผู้เฒ่าไป แต่ว่า
" ยกมือขึ้นชี้ไปที่นางใบ้ชุนบ๊วย
"แล้วชุนบ๊วยผู้นี้เล่า ?"
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวตอบเสียงเย็นชาว่า
"นางได้แสดงเป็นใบ้ต่อเจ้านานถึงเพียงนี้ แสดงว่ามีความจงรักภักดีต่อมารดาเจ้ามาก
เล่าฮูไม่ต้องการจะทรมานบ่าวที่ดีเช่นนี้ ก่อนที่พวกเราจะออกจากด่าน เล่าฮูก็จะปล่อยนางไป"
"เช่นนั้น ข้าพเจ้าจะไปเตรียมเข้าของเพื่อออกเดินทาง"
พูดจบวิ่งเข้าไปในกระท่อมทันที แป่เล้งช้าเอี้ยซิวอุ้มชุนบ๊วยเข้ามาวางบนโต๊ะ
แล้วจึงเดินเข้าไปในห้องเซียงกัวม่อเล้ง มันหยุดยืนที่หน้าประตู เห็นภายในห้องมีเตียงอยู่สองตัว
ตรงกลางมีผ้าม่านผืนหนึ่งกั้นไว้ จึงถามขึ้นว่า
"เจ้ากับมารดาอยู่ห้องเดียวกัน ?"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง เก็บของพลางตอบ
"ถูกแล้ว มารดาไม่ยอมให้ข้าพเจ้าอยู่คนเดียว"
"หากว่าเก้าเล้งเฮียงเง็กป๋วย (หยกหอมเก้ามังกร) ซ่อนอยู่ในห้องนี้
เจ้ายินยอมให้เล่าฮูค้นหรือไม่ ?"
"ได้ เพียงแต่อย่าทำให้เข้าของกระจุยกระจาย ท่านผู้เฒ่าเชิญเข้ามาเถอะ"
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวเดินเข้ามาในห้องแล้วลงมือค้นหาทันที แต่ว่าทั่วทั้งห้องหามีหยกหอมเก้ามังกรก้อนนั้นไม่
แต่เซี่ยงกัวม่อเล้งกลับค้นพบมีดใบหลิวเจ็ดอัน ได้ที่ใต้เตียงของมารดา จึงตกใจยิ่งนักกล่าวเสียงสั่นว่า
"แย่แล้ว มีดพวกนี้เป็นของใครกัน ?"
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวยิ้มน้อยๆกล่าวว่า
"นั่นเป็นอาวุธของมารดาเจ้าอย่างแน่นอน"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ถามด้วยเสียงตกใจว่า
"ท่านว่ามารดารู้จักวิชาฝีมือทางยุทธจักรด้วยหรือ ?"
แป่เล้งหยิบมีดบางเหล่านั้นกลับไปที่เดิม แล้วกล่าวว่า
"ไม่เพียงแต่เป็น ฝีมืออาจจะร้ายกาจยิ่งนัก"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง อยู่ร่วมกับมารดามาสิบกว่าปี นางมีแต่ความอ่อนโยนเรียบร้อยและอ่อนแอ
จึงไม่เชื่อว่านางมีวิชาฝีมือ แต่เมื่อคิดถึงคนรับใช้ชุนบ๊วย นางร่ายรำเพลงกระบี่อย่างคล่องแคล่วและจากใบ้ยังพูดได้อีก
ยิ่งคิดยิ่งงุนงง จึงจับมือของชายชราไว้ พลางเขย่าถาม
"ท่านผู้เฒ่า ท่าน
ท่านรู้จักกับมารดาข้าพเจ้าหรือ ?"
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวส่ายศีรษะ
"ไม่รู้จัก"
"ถ้าหากท่านไม่รู้จัก ทำไมถึงทราบว่ามารดามีวิชาอันร้ายกาจ ?"
"ผู้ที่สามารถใช้ใบมีดหลิวนี้ กำลังภายในต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ร้องอุทานออกมา ศีรษะผงกไปมา
แต่คิดเพียงชั่วครู่ ก็กล่าวขึ้นอีกว่า
"ไม่ ท่านต้องรู้จักมารดาอย่างแน่นอน ท่านว่าดาบมังกรทองด้ามนั้นเป็นของซือตี๋ท่าน
แต่มันกลับมาอยู่ในการครอบครองของมารดา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้รู้ว่ามารดาและซือตี๋ของท่านต้องเป็นศัตรูกัน
ดังนั้น ท่านไม่รู้จักกับมารดาย่อมเป็นไปไม่ได้"
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวมีสีหน้าอับจนไปชั่วครู่ กล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า
"พวกเราซือเฮียตี๋ทั้งเก้าต่างก็อยู่คนละทิศทาง ยากนักที่จะมาพบกัน
เกี่ยวกับเรื่องต่างๆของแต่ละคน ต่างก็รู้กันไม่มากนัก ดังนั้น การที่เล่าฮูไม่รู้จักมารดาเจ้าย่อมเป็นเหตุผลที่สมควร"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง ได้ยินดังนั้นจึงเงียบไป แต่คิดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้
จิตใจก็เกิดความวุ่นวายยิ่งนัก ยิ่งคิดยิ่งเกิดความรุ่มร้อนจนต้องค่อยๆก้มศีรษะลงไป
แป่เล้งช้าเอี้ยซิวทราบว่าหนุ่มน้อยกำลังเสียใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จึงยื่นมือไปตบที่บ่าเบาๆกล่าวว่า
"อย่าเสียใจเลย ฟ้าจะสว่างแล้ว เล่าฮูเมื่อสักครู่เห็นที่หลังกระท่อมมีลาสีดำอยู่
เจ้ารีบไปจูงมันออกมาเถอะ"
เซี่ยงกัวม่อเล้ง รับคำพลางเดินเข้าหลังกระท่อม จูงลาดำตัวนั้นออกมา วางห่อของไว้บนหลังมัน
ขณะเดียวกันนั้น แป่เล้งยื่นมือไปจี้ที่ร่างของชุนบ๊วยครั้งหนึ่ง แล้วจึงเดินอกจากกระท่อมไป
ท้องฟ้าใกล้สว่างแล้ว ทางทิศตะวันออกปรากฏแสงเรืองรองขึ้น ฝนเล็กๆยังคงหล่นประปราย
ทั่วทุกทิศเต็มไปด้วยความเงียบ แป่เล้งช้าเอี้ยซิวหยิบถุงผ้าที่ใส่กระดูกนั้นไว้บนหลังลา
พลางเรียกเซี่ยงกัวม่อเล้งขึ้นไปนั่งแล้วค่อยๆเดินไป เซี่ยงกัวม่อเล้ง ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยออกจากด่านกระบี่เลยแม้แต่ก้าวเดียว
แต่เดี๋ยวนี้กำลังจะจากไป ในใจเกิดความอ้างว้างและเต็มไปด้วยปัญหาอันสับสน
มองกระท่อมอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วค่อยๆขี่ลาตามหลังแป่เล้งอกจากด่านกระบี่ไป
"ท่านผู้เฒ่า ชุนบ๊วยเมื่อสักครู่พูดว่าท่านเป๋นคนของวังแก้วผลึก (จุ้ยเจียเก็ง)
ขอถามว่าอะไรคือวังแก้วผลึก ?"
"เล่าฮูไม่ใช่คนของวังแก้วผลึก ที่เรียกเช่นนั้นเพราะเป็นตำหนักที่อยู่ของ
เท็กเล้ง (มังกรหัวล้าน) เงี่ยมกงเตี้ยง ซึ่งเป็นตั้วซือเฮีย (ศิษย์ผู้พี่คนโต)
ของพวกเรา ท่านเป็นคนดีมีธัมมะ เจ้าไม่ต้องสงสัยอะไรให้มาก"
"ทราบแล้วท่านผู้เฒ่า"
"พวกเราแปดมังกร เว้นแต่ จุ่ยเล้ง (มังกรมึนเมา) เซี่ยลัก ยังไม่มีพันธะทางครอบครัว
นอกนั้นต่างก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คือ เจ็กเก็ง (หนึ่งวัง) เจ็กเซี้ย
(หนึ่งเมือง) น๋อเป้า (สองป้อมป่าย) ซาจึง (สามหมู่บ้าน) ชาวบู๊ลิ้มยกย่องให้เป็น
ชิกเล้งป่ากิ้วจิว (เจ็ดมังกรครอบครองเก้ามณฑล)"
"เจ็ดมังกรครอบครองเก้ามณฑล ?"
"อืมม์ ตั่วซือเฮียเท็กเล้ง (มังกรหัวล้าน) เงี่ยมกงเตี้ยงมีเกียรติภูมิยิ่งใหญ่
ครอบคลุมไปทั่กี๋จิว เอี๋ยวจิว แชจิวทั้งสาม ก่อตั้งวังแก้วผลึกที่ฉิ่นอ้วงต้า
(เกาะฉิ่นอ้วง) ยี่ซือเฮีย เฉี่ยเล้ง (มังกรหัวเราะ) องเฉี่ยฮุย สร้างห่ำกวงเซี้ย
(เมืองคลุมแสง) ที่ภูเขาเลี๊ยกฉัว (ภูเขาเที่ยงธรรม) ในฉื่อจิว ซาซือเฮียซุ้ยเล้ง
(มังกรหลับ) ตั้งโล่วซิ้ง ตั้งป้อมเตี๊ยะแชเป้า (ป้อมสอยดาว) ที่ยอดเขาฉุ่ยมุ้ย
(ยอดเขาเขียวขจี) ในเอี้ยงจิว ซี่ซือเฮีย จุ่ยเล้ง (มังกรมึนเมา) เชี่ยลักท่องเที่ยวไปทั่วทุกแห่งหนไม่มีที่พำนักแน่นอน
โง๋วซือเฮีย เม้งเล้ง (มังกรบอด) โกเทียนย้ง ครอบครองแหล่งเซียวเป้า (ป้อมเทียมฟ้า)
ที่โฮ้วเง้ซัว (ภูเขาฟันเสือ) ในเก็งจิว เล่าฮูอยู่ในอันดับหก เป็นหัวหน้าหมู่บ้านหลั่งง้วยจึง
(หมู่บ้านปลดพระจันทร์) อยู่ในมณฑลฮ่อน้ำทิศพายัพของไคฮง ชิกซือตี๋ บุ้นเล้ง
(มังกรนักปราชญ์) เก็งเทียนเอี้ย สร้างหมู่บ้านคี่ฮุ้งจึง (หมู่บ้านในม่านเมฆ)
ที่เนี่ยจิวบนเขาบู๊ซัว โป้ยซือตี๋ ซิ่วเล้ง (มังกรสง่า) พัวปิง ตั้งหมู่บ้านไช้ท่งจึง
(หมู่บ้านสีรุ้ง) อยู่ที่เอียงจิว ก็เพราะเหตุนี้ ต่างก็อยู่กันคนละแห่ง
ยากนักที่จะพบกันทุกวันได้ ดังนั้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านอาจารย์จึงสั่งให้มาร่วมชุมนุมกันทุกปีๆละครั้งที่ภูเขาเก้างี้ซัวในวันขึ้นห้าค่ำเดือนห้า
จึงเรียกว่างานชุมนุมโคมมังกร"
"ใครมีกำลังภายในสูงสุด ?"
นอกจากเก้าซือตี๋ "กิมเล้งเซี่ยงกัวเทียนย้ง" ไม่ขอกล่าวถึง ตั่วซือเฮียมีความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
แต่ว่า
"
"นอกเหนือแปดมังกรยังมีผู้อื่นอีกหรือ ?"
"ไม่ผิด มีคนลึกลับอีกผู้หนึ่งซึ่งตั้งฉายาตัวเองว่า "ฮั้งเล้งเซี่ยชิ้ว"
(มือศักดิ์สิทธิ์พิชิตมังกร) ตามคำร่ำลือกล่าวว่ามันมีกำลังฝีมือไม่ด้อยกว่าพวกเรา
แต่ว่ามันกลับไม่กล้าออกมาปรากฏตัวต่อหน้าแปดมังกร เป็นวายร้ายที่ซุกหัวโผล่หางที่น่าชังอย่างยิ่ง"
"อ้อ
."
"เด็กเอย เจ้าคิดจะฝึกกำลังฝีมือหรือไม่ ?"
"ฝึกกำลังฝีมือไปทำไม ?"
"ฝึกกำลังฝีมือแล้วสามารถอยู่ในวงการบู๊ลิ้มกวาดล้างอธรรมผดุงธัมมะ
ทำในเรื่องที่ข้าราชการทำไม่ได้"
"นี่กลับนับว่าไม่เลว แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะฝึกอย่างไร ?"
"ไม่ยาก โครงร่างของเจ้านับว่าวิเศษมาก ถ้าหากกราบไหว้เล่าฮูเป็นอาจารย์
สามปีให้หลังรับรองว่าชื่อของเจ้าต้องสะท้านไปทั่วบู๊ลิ้ม"
"ตกลง ข้าพเจ้าไหว้ท่านเป็นอาจารย์ ซือแป๋โปรดรับกราบจากผู้ศิษย์
"
"ช้าก่อน เวลานี้เจ้าจงเรียกเล่าฮูเป็นซือแป๋ก่อน ส่วนการกราบไหว้รับเจ้าเป็นศิษย์ตามพิธีนั้น
รอให้งานชุมนุมโคมเก้ามังกรผ่านไปแล้ว ยังมีอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อสกุล
ไม่อาจเปิดเผยชื่อที่แท้จริงของเจ้าให้ผู้ใดทราบ รวมทั้งซือเฮียตี๋ของเราด้วย
นี่เป็นเพราะเล่าฮูเห็นว่าชาติกำเนิดของเจ้ามีปริศนา อาจมีศัตรูคอยลอบทำร้าย
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง"
"ถูกแล้ว แต่ผู้ศิษย์ควรจะเปลี่ยนชื่อสกุลอะไรดี ?"
"เรียก เล็กจี่เกี่ยม ก็แล้วกัน ถ้าหากมีคนไถ่ถามเรื่องอื่น เล่าฮูจะเป็นผู้ตอบเอง"
"ทราบแล้ว ผู้ศิษย์เรียกว่าเล็กจี่เกี่ยม
."
"ฮาฮา ที่นี่ห่างจากเก้างี้ซัวประมาณพันลี้ ยังมีเวลาอีกประมาณเดือนครึ่ง
เล่าฮูจะใช้เวลานี้ปรับพื้นฐานกำลังภายในให้เจ้าเป็นขั้นแรก"
อ้างอิง : โคมเก้ามังกร เล่ม 1 แปลโดย น. นพรัตน์
สนพ.ประมวลสาส์น 2514 |